ข้อมูลผลิตภาพแรงงานการผลิตสหรัฐฯ(U.S. worker productivity) เมื่อคืนนี้ปรับตัวลดลงติดต่อกันเป็นไตรมาสที่ 3 บ่งชี้ว่าผลกำไรของภาคเอกชนจะถูกกดดันโดยค่าจ้างแรงงานที่สูงขึ้น
กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ เผย ข้อมูลผลิตภาพแรงงานการผลิตสหรัฐฯ ปรับตัวลดลง -0.5% เมื่อเทียบรายปี ในไตรมาสที่ 2/2016 นับเป็นการหดตัวติดต่อกันเป็นไตรมาสที่ 3 ยาวนานที่สุดนับตั้งแต่ปี 1979
หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จากดอยซ์แบงก์ ระบุว่า เหตุผลที่เศรษฐกิจสหรัฐฯยังเติบโตอยู่ได้นั้นเกิดจากปัจจัยด้านแรงงาน ผู้ประกอบการยังคงจ้างงานเพิ่มขึ้นในอัตราที่น่าพึงพอใจ อย่างไรก็ดี เราไม่ควรเชื่อว่าอัตราดังกล่าวจะคงอยู่ตลอดไป เนื่องจากการจ้างงานที่เพิ่มขึ้นขณะที่ผลิตภาพแรงงานไม่ได้เพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย จะส่งผลให้กำไรของภาคเอกชนหดตัวลง
ทั้งนี้หลังจากในช่วงทศวรรษที่ 1990 ผลิตภาพแรงงานปรับตัวสูงขึ้นอย่างมากเนื่องจากการเข้ามาของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ แต่ในช่วง 18 เดือนที่ผ่านมานั้น ผลิตภาพแรงงานปรับตัวลดลงเนื่องจากภาคเอกชนชะลอการลงทุนในเครื่องมือการผลิตใหม่ๆ เนื่องจากภาพรวมของเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดปรับตัวลดลงเมื่อคืนนี้ หลังจากที่ EIA ปรับเพิ่มคาดการณ์ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบในปีหน้า จากเดิมที่คาดว่าจะลดลง 8.2 แสนบาร์เรล/วัน เป็นคาดว่าจะลดลง 7 แสนบาร์เรล/วัน นอกจากนี้ตลาดน้ำมันดิบยังได้รับแรงกดดันจากข้อมูลสต็อกน้ำมันดิบโดย API ปรับตัวสูงขึ้น 2.1 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 1 ล้านบาร์เรล ส่วนข้อมูลสต็อกน้ำมันดิบโดย EIA จะเผยออกมาในคืนวันนี้
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ก.ย.ลดลง 25 เซนต์ หรือ 0.6% ปิดที่ 42.77 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ ส่งมอบเดือน ต.ค.ลดลง 41 เซนต์ หรือ 0.9% ปิดที่ 44.98 ดอลลาร์/บาร์เรล
นอกจากนี้นักลงทุนกำลังจับตาไปยังการประชุมอย่างไม่เป็นทางการของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ซึ่งจะจัดขึ้นในเดือนหน้าที่ประเทศแอลจีเรีย