ผลการประกาศข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯในคืนวันศุกร์ พบว่า ผลการประกาศจีดีพีขั้นต้นประจำไตรมาสที่ 2/2016 ออกมาดีขึ้นน้อยกว่าที่คาดแตะระดับ 1.2% จากที่คาดว่าจะออกมาที่ระดับ 2.6% จากการชะลอตัวของภาคธุรกิจสินค้าคงคลัง และท่าทีที่ระมัดระวังในภาคการลงทุนท่ามกลางปริมาณความต้องการทั่วโลกที่ไม่มั่นคง
ด้านผลการประกาศดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิต (PMI) ประจำเขตชิคาโกในเดือนกรกฎาคมออกมาดีขึ้นเกินคาดแตะระดับ 55.8 ขณะที่การปรับทบทวนดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคออกค่อนข้างทรงตัวตามคาด แต่ดีขึ้นจากเดิมเล็กน้อยที่ระดับ 90.0
สำนักข่าว Xinhua รายงานว่า แม้ว่าเฟดจะเปิดกว้างต่อโอกาสในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย แต่ข้อมูลจีดีพีในไตรมาสที่ 2 ที่ออกมาแย่เกินคาดของสหรัฐฯนั้น ส่งผลให้เหล่าเทรดเดอร์เชื่อว่าเฟดน่าจะยังไม่มีแนวโน้มในการขึ้นอัตราดอกเบี้ยตอนนี้ โดยพวกเขาเชื่อว่าเฟดมีโอกาสขึ้นดอกเบี้ยจากระดับ 0.50% สู่ระดับ 0.75% ในการประชุมเฟดที่จะเกิดขึ้นในเดือนธันวาคม
นายจอห์น วิลเลียม ประธานเฟดสาขาซานฟรานซิสโก กล่าวว่า เฟดอาจขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้2 ครั้ง ก่อนช่วงสิ้นปีนี้ แม้ว่าข้อมูลข้อมูลสหรัฐฯจะอ่อนตัวกว่าคาดในไตรมาสที่ผ่านมา ซึ่งข้อมูลจีดีพีไตรมาสล่าสุด เพราะได้รับผลกระทบจากความผันผวนของภาคคงคลังและการใช้จ่ายของรัฐบาล พร้อมระบุว่า รายงานข้อมูลบางอย่างยังอยู่ในแนวโน้มเชิงบวก
ขณะที่ผลสำรวจโปรแกรม FedWatch ล่าสุดจาก CME Group ระบุว่า เฟดมีแนวโน้มจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยจากระดับ 0.50% สู่ 0.75% ในการประชุมเดือนกันยายนนั้นมีเพียง 12% ขณะที่ในเดือนพฤศจิกายนมีความเป็นไปได้ 14%และส่วนใหญ่เชื่อว่าจะขึ้นดอกเบี้ยในเดือนธันวาคมกว่า 34%
ธนาคารกลางอังกฤษ หรือบีโออี ต้องตัดสินใจในอีกไม่กี่สัปดาห์นี้ว่าเศรษฐกิจของอังกฤษจะเผชิญกับปัญหามากน้อยแค่ไหนจากกรณีผลการลงประชามติที่อังกฤษเลือกออกจากอียู และต้องประเมินว่าจะรับมือกับปัญหาดังกล่าวอย่างไร
ซึ่งผลสำรวจนักเศรษฐศาสตร์จากรอยเตอร์ส คาดว่า ธนาคารกลางอังกฤษจะตัดลดอัตราดอกเบี้ยลงสู่ระดับ 0.25% จากระดับ 0.5% ซึ่งส่วนใหญ่อาจไม่เหมาะที่จะใช้มาตรการการเข้าซื้อพันธบัตรในขณะนี้ ขณะที่นักวิเคราะห์บางส่วน ระบุว่า บีโออีอาจมีมาตรการชั่วคราวในการหนุนเศรษฐกิจ อาทิ การส่งเสริมการกู้ยืมของภาคธนาคาร และอาจรอสัญญาณทีชัดเจนกว่านี้ว่า Brexit จะส่งผลเช่นไรต่อเศรษฐกิจอังกฤษ
อย่างไรก็ดี ในตอนนี้ บีโอเจและอีซีบี ต่างก็ตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยสู่ระดับต่ำกว่าศูนย์ เพื่อหนุนให้เศรษฐกิจของพวกเขากลับมาสดใสอีกครั้ง
อีซีบีเปิดเผยผลการทดสอบภาวะวิกฤต (stress test) ในภาคธนาคารของยูโรโซน โดยระบุว่า ธนาคารส่วนใหญ่มีความแข็งแกร่งเพียงพอที่จะสามารถต้านทานการทรุดตัวของเศรษฐกิจ และภาวะผันผวนในตลาดการเงิน
อย่างไรก็ตาม รายงานของอิตาลีระบุว่า ธนาคารมอนตีเดพาสกี้ดีเซียน่า (Monte dei Paschi di Siena) ซึ่งเป็นธนาคารรายใหญ่ของอิตาลี มีสถานะการเงินที่ย่ำแย่ที่สุด อันเนื่องมาจากหนี้เสียที่มีมูลค่าสูงถึง 3.60 แสนล้านยูโร หรือ 4 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ
ราคาน้ำมันดิบ WTI ปิด +1.12% ที่ระดับ 41.60 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่น้ำมันดิบ Brent ปิดปรับตัวลงเล็กน้อย -0.49% ที่ระดับ 42.49 เหรียญ/บาร์เรล ท่ามกลางแรงทำ Short Covering และค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 3 สัปดาห์ที่เป็นแรงหนุนพยุงราคาในตลาด หลังจากที่ตลอดสัปดาห์เผชิญกับแรงเทขาย จากความกังวลต่อภาวะอุปทานล้นตลาด ซึ่งความกังวลดังกล่าว ส่งผลให้ภาพรวมราคาน้ำมันดิบ WTI เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาปรับตัวลงไปประมาณ 14% ซึ่งเป็นระดับเฉลี่ยรายเดือนที่ปรับตัวลงมากที่สุดในปีนี้