• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 15 กรกฎาคม 2559

    15 กรกฎาคม 2559 | Economic News




ผลการประชุธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) สร้างความผิดหวังต่อตลาดในวันนี้ ด้วยการประกาศคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0.5% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ด้วยคะแนนเสียง 8-1 ซึ่งสวนทางกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25%

นอกจากนี้ BoE ยังได้ลงมติด้วยคะแนนเสียงเป็นเอกฉันท์ในการคงวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ที่ระดับ 3.75 แสนล้านปอนด์

โดย BoE ให้เหตุผลในการไม่ปรับลดดอกเบี้ยในครั้งนี้ว่า 1. ตลาดการเงินยังคงปรับตัวไปได้ด้วยดี หลังการลงประชามติในสหราชอาณาจักรเมื่อวันที่ 23 มิ.ย.เพื่อแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) ถึงแม้มีความผันผวนเกิดขึ้นในตลาดหุ้น และการซื้อขายปอนด์ และยูโร ก็ตาม 2. กรรมการ BoE มองว่ายังคงเร็วเกินไปที่จะตัดสินผลกระทบในระยะกลางจากการลงประชามติดังกล่าว

อย่างไรก็ดี รายงานการประชุมฯบ่งชี้ว่า BoE มีแนวโน้มออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในการประชุมเดือนหน้า หลังจากที่ BoE ทำการประเมินผลกระทบจาก Brexit ต่อระบบเศรษฐกิจ

"ขณะที่ยังไม่มีหลักฐานบ่งชี้ภาวะย่ำแย่ลงระหว่างปัจจัยสนับสนุนการขยายตัว และการดีดตัวของเงินเฟ้อ กรรมการส่วนใหญ่ของ MPCจึงคาดว่าจะทำการผ่อนคลายนโยบายการเงินในการประชุมเดือนส.ค." รายงานระบุ

ก่อนหน้านี้นายมาร์ค คาร์นีย์ ผู้ว่าการ BoE ระบุก่อนหน้านี้ว่า ความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้น หลังจากที่อังกฤษตัดสินใจออกจากสหภาพยุโรป บ่งชี้ว่า BoE มีแนวโน้มที่จะต้องออกมาตรการกระตุ้นทางการเงินในฤดูร้อนนี้

ทั้งนี้ค่าเงินปอนด์แข็งค่าขึ้นทำจุดสูงสุดในรอบ 2 สัปดาห์ที่ระดับ 1.348 ดอลลาร์/ปอนด์ จากการที่ BoE ไม่ออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม

ยอดขอรับสวัสดิการว่างงานของสหรัฐฯเมื่อวานนี้ออกมาที่ระดับ 254,000 ราย น้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะเพิ่มขึ้น สู่ระดับ 265,000 ราย

จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานอยู่ต่ำกว่าระดับ 300,000 ราย เป็นสัปดาห์ที่ 71 ติดต่อกัน ซึ่งยาวนานที่สุดนับตั้งแต่ปี 1973

ขณะที่ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) พุ่งขึ้น 0.5% ในเดือนมิ.ย. เมื่อเทียบรายเดือน ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค.2015 โดยดีดตัวขึ้นตามราคาพลังงานและภาคบริการ หลังจากเพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือนพ.ค.

ส่วนดัชนี PPI พื้นฐาน ซึ่งไม่รวมหมวดอาหาร, พลังงาน และภาคบริการ เพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนมิ.ย. หลังจากลดลง 0.1% ในเดือนพ.ค.

เมื่อวานนี้มีถ้อยแถลงประธานเฟดสาขาต่างๆรวม 4 ราย โดยส่วนใหญ่นั้นกล่าวว่าเฟดนั้นควรระมัดระวังในการขึ้นอัตราดอกเบี้ย

นายเจมส์ บูลลาร์ด ประธานเฟดสาขาเซนต์หลุย ระบุเมื่อวานนี้ว่า จะไม่เร่งรีบในการขึ้นอัตราดอกเบี้ย และกล่าวย้ำว่าตัวเขาเองคาดว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยได้เพียงครั้งเดียวในระยะเวลา 2 ปีข้างหน้านี้ หากเศรษฐกิจสหรัฐฯและผลิตภาพการผลิต ยังคงเติบโตในระดับต่ำเช่นปัจจุบัน

นายโรเบิร์ต แคปแลน ประธานเฟดสาขาดัลลัส ระบุเมื่อวานนี้ว่า เฟดควรขึ้นดอกเบี้ยอย่างช้าๆและอดทน อย่างไรก็ดีการปรับขึ้นดอกเบี้ยให้กลับไปอยู่ในระดับปกตินั้นเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยและนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายเกินไปจะส่งผลให้เกิดการบิดเบือนการลงทุนและการจ้างงาน

นายเดนนิส ล็อกฮาร์ต ประธานเฟดสาขาแอตแลนต้า ระบุเมื่อวานนี้ว่า เฟดควรระมัดระวังและอดทนต่อการขึ้นอัตราดอกเบี้ย ไปจนกว่าจะชัดเจนว่า Brexit นั้นส่งผลกระทบอย่างไร อย่างไรก็ดี นายล็อกฮาร์ต ยังคงคาดการณ์ว่าเฟดจะสามารถขึ้นดอกเบี้ยได้มากที่สุด 2 ครั้งในปีนี้ แต่ก็ขึ้นอยู่กับพัฒนาการทางเศรษฐกิจว่าเป็นอย่างไร

นางเอสเธอร์ จอร์จ ประธานเฟดสาขาแคนซัส ซืตี้ ระบุเมื่อวานนี้ว่า เธอจะติดตามกระแสเงินทุนเคลื่อนย้ายว่าจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯอย่างไร เนื่องจากนับตั้งแต่การทำประชามติ Brexit มานั้น ส่งผลให้นักลงทุนมีความต้องการถือครองสินทรัพย์ปลอดภัยมากขึ้นซึ่งส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น และจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯต่อไป

เกิดเหตุคนขับรถบรรทุกพุ่งชนฝูงชนด้วยความเร็วสูงที่ฝรั่งเศส โดยรถบรรทุกคันหนึ่งพุ่งชนฝูงชนที่กำลังออกจากงานแสดงพลุไฟฉลองวันชาติฝรั่งเศส ในเมืองนีซ เมื่อค่ำคืนวันพฤหัสบดี(14ก.ค.)

ในเหตุการณ์ที่เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นสันนิษฐานว่าอาจเป็นการโจมตี ขณะที่ยอดผู้เสียชีวิตล่าสุดเพิ่มเป็น 73 คน ขณะที่ผู้บาดเจ็บพุ่งสูงขึ้นมากกว่า 100 คน ในนั้นรวมถึงคนขับรถบรรทุกที่ถูกวิสามัญ เหตุนองเลือดล่าสุดในแดนน้ำหอมนี้ กระตุ้นให้ประธานาธิบดีฟรังซัวส์ ออลลองด์ ต้องรุดเดินทางกลับปารีส และไปยังศูนย์สถานการณ์ฉุกเฉิน

ทั้งนี้ราว 8 เดือนก่อน กลุ่ม IS ได้ก่อวินาศกรรมกรุงปารีส คร่าชีวิตไป 130 ศพ

MTS Gold ขอไว้อาลัยผู้เสียชีวิตจากเหตุรถบรรทุกพุ่งชนประชาชนในฝรั่งเศส ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 70 ราย และบาดเจ็บกว่า 100 ราย

สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (14 ก.ค.) โดยได้แรงหนุนจากสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินปอนด์ และข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐ รวมถึงดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนมิ.ย.ที่พุ่งขึ้นสูงสุดในรอบหลายเดือน นอกจากนี้ยังได้รับแรงหนุนจากการทำ Short-Covering ของนักลงทุนหลังข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯออกมาสดใสอีกด้วย

สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนส.ค.เพิ่มขึ้น 93 เซนต์ หรือ 2.1% ปิดที่ 45.68 ดอลลาร์/บาร์เรล



บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com