MTS Help Center

ตลาดหุ้นดาวโจนส์ปิด +2.11% หรือปรับขึ้น 348.58 จุด ที่ระดับ 16,865.08 จุด ขณะที่ตลาดหุ้นยุโรปปิด +1.4% ที่ระดับ 338.72 จุด เพราะได้รับแรงหนุนจากข้อมูลเศรษฐกิจเชิงบวกของสหรัฐฯ ทั้งภาคการผลิต และยอดใช้จ่ายด้านการก่อสร้างที่ปรับตัวขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบกว่า 8 ปี รวมถึงการฟื้นตัวของราคาน้ำมันดิบเกือบ 2% วานนี้ รวมไปถึงตลาดขานรับกับการประกาศลดอัตราดอกเบี้ย RRR ของจีนเพื่อเสริมสภาพคล่องและการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ สำหรับเช้านี้ดัชนีนิกเกอิเปิด +2.5% หรือปรับขึ้นกว่า 402.18 จุด ที่ระดับ 16,487.69 จุด

สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานสถานการณ์ศึกชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยระบุว่า แรงสนับสนุนที่เพิ่มขึ้นของ นายโดนัลด์ เจ. ทรัมพ์ กำลังสร้างความวิตกกังวลต่อตลาดการเงินสหรัฐฯ เนื่องจากความไม่แน่นอนที่ว่าใครจะเป็นตัวแทนผู้คว้าชัยชนะจากทางพรรครีพับลิกัน เพื่อชิงตำแหน่งกับ นางฮิลารี คลินตันของฝั่งทำเนียบขาวในการเลือกตั้งเดือนพฤศจิกายนนี้ และประเด็นดังกล่าวได้ส่งผลให้นักลงทุนบางส่วนทำการเทขายหุ้นสหรัฐฯ

ทั้งนี้กลุ่มนักลงทุนวิตกกังวลว่าการชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯอาจกระตุ้นให้เกิดสงครามการเทรด ซึ่งความผันผวนที่เกิดขึ้นอย่างหนักอาจสร้างผลกระทบต่อสภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯได้ จึงทำให้นักลงทุนหันมาถือครองสถานะ Short ในตลาดหุ้นสหรัฐฯเพิ่มมากขึ้น

ผู้จัดการกองทุน ดูกลาส แคส ออฟ ซีบรีส พาร์ทเนอร์ เมเนจเมนท์ (Douglas Kass of Seabreeze Partners Management Inc) ระบุว่า ไม่บ่อยนักที่ตลาดจะปราศจากการคาดเดาในเรื่องดังกล่าว ขณะที่การเป็นตัวแทนชิงชัยครั้งนี้ของ นายทรัมพ์ และการได้รับคะแนนเสียงเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่ง ถือเป็นฝันร้ายสำหรับนักลงทุนในปีนี้

นักบริหารเงิน ประเมินว่า ค่าเงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบ 35.50 – 35.70 บาท/ดอลลาร์ โดยยังเคลื่อนไหวตามทิศทางของค่าเงินในภูมิภาค และยังไม่มีปัจจัยใหม่ๆเข้ามา ขณะที่ตัวเลขเงินเฟ้อไทยที่กระทรวงพาณิชย์ประกาศออกมาเป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ จึงคาดว่าเงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบไปก่อน รอปัจจัยใหม่ๆเข้ามา

กระทรวงพาณิชย์ไทย แถลงดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ในเดือนกุมภาพันธ์อยู่ที่ 105.62 หดตัว -0.50% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และหากเทียบกับเดือนก่อนหน้า (มกราคม 59)ขยายตัว 0.15% มีผลให้ CPI เฉลี่ยช่วง 2 เดือนแรก หดตัว -0.52%

ขณะที่ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน (Core CPI) ในเดือนกุมภาพันธ์ อยู่ที่ 106.37 ขยายตัว 0.68% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2559 ครั้งที่ 1 โดยในส่วนของแผนก่อหนี้ใหม่ของรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจนั้น มีแผนการก่อหนี้ใหม่ 562,678 ล้านบาท ลดลง 1,248 ล้านบาท จากเดิมที่ 563,926 ล้านบาท