• สรุปข่าวราคาทองคำ ประจำวันที่ 19 พฤษภาคม 2568

    19 พฤษภาคม 2568 | Gold News


ตัวเลขเศรษฐกิจวันศุกร์


  • Prelim UoM Consumer Sentiment ออกมาที่ 50.8 ต่ำกว่าคาดการณ์ที่ 53.1 และครั้งก่อนที่ 52.2
  • Prelim UoM Inflation Expectations ออกมาที่ 7.3% สูงกว่าครั้งก่อนที่ 6.5%


ข่าวเกี่ยวกับทองคำ


  • สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดลบในวันศุกร์ และปรับตัวลงรายสัปดาห์มากที่สุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย. 2567 เนื่องจากตลาดคลายความวิตก หลังการทำข้อตกลงสงบศึกสงครามการค้าชั่วคราวระหว่างสหรัฐฯ-จีน


  • สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือนมิ.ย. ลดลง 39.40 ดอลลาร์ หรือ 1.22% ปิดที่ 3,187.20 ดอลลาร์/ออนซ์
  • ขณะที่เช้านี้ ราคาทองคำตลาดโลก ปรับตัวขึ้น 29.1 เหรียญ หรือ 0.91% อยู่ที่ระดับ 3,230.88 เหรียญ
  • กองทุนทองคำ SPDR วันก่อนหน้าขายออก 8.89 ตัน ปัจจุบันถือครองที่ 918.73 ตันภาพรวมเดือนพฤษภาคม ขายสุทธิ 25.53 ตัน ขณะที่ปีนี้ ตั้งแต่ 1 ม.ค. - ปัจจุบัน ซื้อสุทธิ 46.21 ตัน


  • นักวิเคราะห์กล่าวว่า การคลี่คลายของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ได้ช่วยหนุนความต้องการเสี่ยงในตลาดการเงินโดยรวม ซึ่งทำให้เกิดแรงขายทำกำไรในตลาดทองคำ และเป็นเหตุให้เกิดการเทขายต่อเนื่องตลอดทั้งสัปดาห์


  • ผลสำรวจทองคำ Kitco News สัปดาห์นี้ นักวิเคราะห์วอลล์สตรีท โดยส่วนใหญ่เทไปในทิศทางทางขาลง อย่างชัดเจน หลังจากที่ก่อนหน้านี้มีมุมมองที่ค่อนข้างทรงตัวต่อแนวโน้มระยะสั้นของทองคำ มีเพียง(12%) ที่คาดการณ์ว่าราคาทองคำจะปรับขึ้นในสัปดาห์นี้ ขณะที่ (63%) มองว่าจะลดลง ส่วนอีก (25%) คาดว่าราคาจะเคลื่อนไหว Sideways


  • แต่ในขณะที่เช้านี้ เปิดตลาด ราคาทองฟิวเจอร์ดีดตัวขึ้นกว่า 60 ดอลลาร์ หรือ 1.89% แตะที่ระดับ 3,247.30 ดอลลาร์/ออนซ์ ท่ามกลางความวิตกกังวลเกี่ยวกับทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ หลังจากมูดี้ส์ เรทติ้งส์ (Moody’s Ratings) ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือระยะยาวของรัฐบาลสหรัฐฯ ลงสู่ระดับ Aa1 จากระดับ Aaa


ข่าวเกี่ยวกับค่าเงิน และธนาคารกลาง


  • ดัชนีดอลลาร์ ปรับตัวขึ้น 0.04 จุด หรือ 0.04% มาอยู่ที่ระดับ 100.82 จุด
  • อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ปรับตัวขึ้น 0.04 % มาอยู่ที่ระดับ 4.479% ในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 2 ปี ปรับตัวขึ้น 0.02 % มาอยู่ที่ระดับ 3.979% โดยที่ส่วนต่างอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ 10 ปี มากกว่า 2 ปี เท่ากับ0.5%


  • มูดี้ส์ประกาศลดอันดับความน่าเชื่อถือระยะยาวของรัฐบาลสหรัฐฯ จากระดับ Aaa ลงมาอยู่ที่ Aa1 เมื่อวันศุกร์ (16 พ.ค.) โดยให้เหตุผลว่า หนี้สาธารณะของรัฐบาลสหรัฐฯ เพิ่มสูงขึ้น และภาระดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายก็เพิ่มขึ้นด้วย


  • การปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือลงหนึ่งขั้นสะท้อนให้เห็นถึงการเพิ่มขึ้นของระดับหนี้สาธารณะและภาระดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องตลอดกว่า 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งตอนนี้อยู่ในระดับที่สูงกว่าประเทศอื่น ๆ ที่มีอันดับใกล้เคียงกันอย่างมาก


  • นอกจากนี้ มูดี้ส์ไม่เชื่อว่าแผนงบประมาณปัจจุบันจะสามารถลดการใช้จ่ายของรัฐบาลหรือการขาดดุลงบประมาณได้อย่างมากในระยะยาว โดยในช่วง 10 ปีข้างหน้า มูดี้ส์คาดว่าการขาดดุลงบประมาณจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากการใช้จ่ายสำหรับโครงการสวัสดิการต่าง ๆ จะเพิ่มขึ้น ในขณะที่รายได้ของรัฐบาลยังคงอยู่ใกล้เคียงระดับเดิม


  • ทั้งนี้ คาดการณ์ว่าการขาดดุลงบประมาณที่ต่อเนื่องและมีขนาดใหญ่จะผลักดันให้ภาระหนี้และดอกเบี้ยของรัฐบาลเพิ่มขึ้น โดยมูดี้ส์คาดว่า ภาระหนี้ของรัฐบาลกลางจะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 134% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ภายในปี 2578 เทียบกับระดับ 98% ในปี 2567


  • ขณะเดียวกันมูดี้ส์ระบุว่า ภายในปี 2578 การชำระดอกเบี้ยของรัฐบาลกลางอาจต้องใช้สัดส่วนถึงประมาณ 30% ของรายได้รัฐบาล เพิ่มขึ้นจาก 18% ในปี 2567 และ 9% ในปี 2564


  • ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ เรียกร้องให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ลดอัตราดอกเบี้ยโดยเร็ว อย่าช้าพร้อมตำหนิประธานเฟด เจอโรม พาวเวล ที่อยู่เฉยไม่ดำเนินการอะไร ทั้งนี้ ทรัมป์ยังคงแสดงความไม่พอใจต่อพาวเวล โดยถึงแม้ว่าเขาไม่ได้ดึงดันที่จะปลดพาวเวลจากตำแหน่ง และยืนยันว่าประธานเฟดจะอยู่ในตำแหน่งต่อไป และถึงแม้ทรัมป์เชื่อว่าเงินเฟ้อไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไปแล้ว แต่เขาต้องการให้พาวเวลกระตือรือร้นมากกว่านี้ในเรื่องการลดดอกเบี้ย


  • โทโยอากิ นากามูระ หนึ่งในคณะกรรมการธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ออกมาส่งสัญญาณ ว่า BOJ ควรชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยออกไปก่อน โดยเตือนว่าเศรษฐกิจกำลังเผชิญแรงกดดันมากขึ้นจากมาตรการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ


  • กรรมการบริหารของธนาคารกลางยุโรป (ECB) เปิดเผยว่า ECB คาดว่าจะสามารถตกลงในประเด็นการเมืองที่เกี่ยวข้องกับการออกเงินยูโรดิจิทัลได้ภายในต้นปี 2569 และจะใช้เวลาอีกประมาณ 2-3 ปีในการเปิดตัวเงินยูโรดิจิทัลอย่างเป็นทางการ


ข่าวเกี่ยวกับตลาดหุ้น และเศรษฐกิจ


  • ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกในวันศุกร์ ติดต่อกันเป็นวันที่ 5 โดยได้แรงหนุนจากการทำข้อตกลงระงับเก็บภาษีนำเข้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนเมื่อต้นสัปดาห์นี้ แม้ว่าข้อมูลเศรษฐกิจบ่งชี้ว่าความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐฯ ย่ำแย่ลงก็ตาม


  • ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 42,654.74 จุด เพิ่มขึ้น 331.99 จุด หรือ +0.78%,
  • ดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,958.38 จุด เพิ่มขึ้น 41.45 จุด หรือ +0.70% 
  • ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 19,211.10 จุด เพิ่มขึ้น 98.78 จุด หรือ +0.52%


  • นักวิเคราะห์กล่าวว่า การปรับตัวขึ้นของตลาดในวันศุกร์เป็นแรงบวกต่อเนื่องจากการคลี่คลายความขัดแย้งด้านการค้า โดยตลาดมีความหวังอย่างระมัดระวังกับท่าทีที่อ่อนลงเกี่ยวกับการค้า แต่ยังรอดูว่าสุดท้ายแล้วสหรัฐฯ จะดำเนินมาตรการภาษีไปในทิศทางใด


  • นักลงทุนยังจับตาความชัดเจนเรื่องนโยบายภาษีของสหรัฐฯ หลังร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีของประธานาธิบดีทรัมป์ไม่สามารถผ่านขั้นตอนสำคัญในสภาคองเกรสได้ เนื่องจากสมาชิกพรรครีพับลิกันสายแข็งเรียกร้องให้มีการตัดงบประมาณลงอีก ซึ่งถือเป็นอุปสรรคทางการเมืองที่ไม่คาดคิดสำหรับผู้นำสหรัฐฯ


  • แต่ในช่วงเช้านี้ ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์ ร่วงลง 261 จุด หรือ -0.61% แตะที่ระดับ 42,475 จุด ในช่วงเช้าวันนี้ (19 พ.ค.) หลังจากมูดี้ส์ เรทติ้งส์ (Moody’s Ratings) ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือระยะยาวของรัฐบาลสหรัฐฯ 


  • บาร์เคลย์ ธนาคารรายใหญ่ของอังกฤษ คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะรอดพ้นจากภาวะถดถอยได้ พร้อมปรับเพิ่มตัวเลขคาดการณ์การเติบโต หลังสถานการณ์ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ เริ่มผ่อนคลาย โดยยังระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มขยายตัว 0.5% ในปีนี้ และ 1.6% ในปีหน้า เพิ่มขึ้นจากประมาณการเดิมที่ -0.3% และ 1.5% ตามลำดับ


  • สำนักงานสถิติแห่งสหภาพยุโรป (ยูโรสแตท) เปิดเผยว่า ยูโรโซนมียอดเกินดุลการค้าในเดือนมี.ค. อยู่ที่ 3.68 หมื่นล้านยูโร เพิ่มขึ้นจาก 2.28 หมื่นล้านยูโรในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว และเพิ่มขึ้นจาก 2.40 หมื่นล้านยูโรในเดือนก่อนหน้า


  • สำนักงานคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นเปิดเผยว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) หดตัวลง 0.2% ในไตรมาส 1/2568 เมื่อเทียบเป็นรายไตรมาส ซึ่งเป็นการหดตัวรายไตรมาสครั้งแรกในรอบ 1 ปี และย่ำแย่กว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะหดตัวเพียง 0.1%


ข่าวเกี่ยวกับน้ำมัน


  • สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดเพิ่มขึ้นในวันศุกร์ และทำสถิติบวกติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่สองหลังความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนเริ่มผ่อนคลาย แม้ว่าราคาถูกกดดันจากการคาดการณ์ว่าอุปทานจะเพิ่มขึ้นจากอิหร่านและกลุ่มโอเปกพลัสก็ตาม


  • สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมิ.ย. เพิ่มขึ้น 87 เซนต์ หรือ 1.41% ปิดที่ 62.49 ดอลลาร์/บาร์เรล
  • สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนก.ค. เพิ่มขึ้น 88 เซนต์ หรือ 1.36% ปิดที่ 65.41 ดอลลาร์/บาร์เรล


  • สัญญาน้ำมันทั้งสองชนิดปรับตัวขึ้นในรอบสัปดาห์นี้ โดยสัญญาน้ำมันดิบ WTI เพิ่มขึ้น 2.4% และสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์เพิ่มขึ้น 1%


  • ก่อนหน้านี้ ราคาน้ำมันร่วงลงกว่า 2% ในวันพฤหัสบดี จากกระแสข่าวความคืบหน้าในข้อตกลงนิวเคลียร์กับอิหร่าน ซึ่งอาจนำไปสู่การผ่อนคลายมาตรการคว่ำบาตร และเปิดทางให้น้ำมันจากอิหร่านกลับเข้าสู่ตลาดโลก


  • ความเชื่อมั่นของนักลงทุนในสัปดาห์นี้ได้รับแรงหนุนจากข้อตกลงระงับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนเป็นเวลา 90 วัน ซึ่งทั้งสองประเทศเป็นผู้บริโภคน้ำมันและมีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก โดยทั้งสองประเทศจะลดภาษีนำเข้าสินค้าซึ่งกันและกันในช่วงเวลาดังกล่าว


  • ในส่วนของอุปทานน้ำมัน ความพยายามเจรจาหยุดยิงระหว่างยูเครนกับรัสเซียครั้งแรกในรอบกว่า 3 ปียังไม่ประสบผลสำเร็จ โดยรัสเซียเสนอเงื่อนไขที่แหล่งข่าวจากยูเครนระบุว่าไม่สามารถยอมรับได้


  • ด้านอิสราเอลยังคงโจมตีท่าเรือฮุดัยดะห์ และซาลิฟของเยเมนในวันศุกร์ โดยเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการลดขีดความสามารถของกลุ่มฮูตี


  • ทางด้านอุปทานของสหรัฐฯ บริษัทบริการพลังงาน เบเกอร์ ฮิวจ์ส (Baker Hughes) เปิดเผยในรายงานประจำสัปดาห์เมื่อวันศุกร์ว่า แท่นขุดเจาะน้ำมันลดลง 1 แท่น เหลือ 473 แท่น ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนม.ค. 2568


ข่าวเกี่ยวกับการเมือง


  • รัฐมนตรีคลังสหรัฐ นายสก๊อต เบสเซนท์ รัฐมนตรี ย้ำถ้าประเทศใดไม่เจรจาให้ได้ข้อตกลงกับสหรัฐอย่างจริงใจใน 90 วัน สหรัฐกลับไปเก็บอัตราภาษีสูงที่ประกาศไว้เมื่อวันที่ 2 เม.ย.แน่นอน และเผยว่าสหรัฐเน้นดีลสำคัญใหญ่ๆ กับ 18 ประเทศ


  • จีนจะจัดเก็บภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดสำหรับการนำเข้าพอลิฟอร์มัลดีไฮด์โคพอลิเมอร์ (polyformaldehyde copolymer) ที่มีแหล่งกำเนิดจากสหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป ไต้หวัน และญี่ปุ่น ตั้งแต่วันที่ 19 พฤษภาคม เป็นต้นไป เป็นระยะเวลา 5 ปี


  • ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ กล่าวว่า เขาจะพูดคุยกับประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินของรัสเซีย และประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกีของยูเครน ในวันนี้ เพื่อผลักดันข้อตกลงหยุดยิงระหว่างทั้งสองประเทศ


  • หน่วยงานป้องกันพลเรือนในฉนวนกาซาเปิดเผยว่า ชาวปาเลสไตน์อย่างน้อย 64 ราย ซึ่งรวมถึงผู้หญิงและเด็ก เสียชีวิตจากการโจมตีของอิสราเอลในหลายพื้นที่ของกาซาเมื่อวันเสาร์ (17 พ.ค.) รวมถึงการถล่มคลังสินค้าแจกจ่ายอาหารและสิ่งของบรรเทาทุกข์


ข่าวเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทยและค่าเงินบาท


  • นักบริหารการเงิน เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 33.19 บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่าขึ้นเล็กน้อยจากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ณ ระดับ 33.27 บาทต่อดอลลาร์ โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวในกรอบ Sideways (แกว่งตัวในกรอบ 33.15-33.46 บาทต่อดอลลาร์) อย่างไรก็ดี เงินบาทก็พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นชัดเจนในช่วงเช้าของวันจันทร์ หลัง Moody’s ได้ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือระยะยาวของรัฐบาลสหรัฐฯ 


  • วันนี้ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เตรียมแถลงรายงานภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกของปี 2568 และแนวโน้มปี 2568 โดยจะต้องติดตามตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของไทยทั้งไตรมาสที่ 1 และทั้งปี 2568 จะขยายตัวได้มากแค่ไหน ภายใต้สถานการณ์สงครามการค้า จากการดำเนินนโยบายของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา

 

 


ที่มาจาก : yahoo finance, Reuters, kitco news, investing, Infoquest

Tags : ข่าวทองข่าวทอง ทอง ราคาทอง

บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com