ข่าวเกี่ยวกับทองคำ
- สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงในวันพฤหัสบดี เนื่องจากการแข็งค่าของดอลลาร์ได้สกัดปัจจัยบวกจากการที่นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
- ราคาทองคำตลาดโลก ปรับตัวลดลง -36.73 เหรียญ หรือ -1.88% อยู่ที่ระดับ 1,912.57 เหรียญ
- สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือนเม.ย. ลดลง 12 เหรียญ หรือ 0.62% ปิดที่ 1,930.8 เหรียญ
- สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนมี.ค. เพิ่มขึ้น 0.6 เซนต์ หรือ 0.03% ปิดที่ 23.615 เหรียญ
- สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนเม.ย. พุ่งขึ้น 30.9 เหรียญ หรือ 3.08% ปิดที่ 1,032.6 เหรียญ
- สัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนมี.ค. เพิ่มขึ้น 10 เหรียญ หรือ 0.6% ปิดที่ 1,642.60 เหรียญ
- กองทุนทองคำ SPDR วันก่อนหน้าซื้อเข้า 1.74 ตัน ปัจจุบันถือครองที่ 920.24 ตันภาพรวมเดือนมกราคม ขายสุทธิ 0.59 ตัน ขณะที่ปีนี้ ตั้งแต่ 1 ม.ค. - ปัจจุบัน ซื้อสุทธิ 2.6 ตัน
- ผู้อำนวยการของ GoldSilver Central กล่าวว่า แม้ถ้อยแถลงของนายเจอโรม พาวเวลล์ จะเน้นย้ำว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยยังคงต้องดำเนินต่อไป แต่ตลาดคาดว่าเฟดจะไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยรุนแรงอีกต่อไป ซึ่งช่วยสนับสนุนต่อราคาทองคำ อย่างไรก็ตาม ในไม่ช้าเราจะเห็นราคาทองคำเผชิญกับแนวต้านที่ระดับ 1,960 เหรียญ
ข่าวเกี่ยวกับค่าเงิน และธนาคารกลาง
- ดัชนีดอลลาร์ ปรับตัวขึ้น 0.98 จุด หรือ 0.97% มาอยู่ที่ระดับ 101.83 จุด
- อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ปรับตัวลดลง -0.03 % มาอยู่ที่ระดับ 3.398% ในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 2 ปี ปรับตัวลดลง -0.01 % มาอยู่ที่ระดับ 4.108% โดยที่ส่วนต่างอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ 10 ปี น้อยกว่า 2 ปี เท่ากับ-0.71% อยู่ในภาวะ inverted yield curve
- ปริมาณการขายตราสารหนี้ของตลาดเกิดใหม่พุ่งทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 4.4 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนม.ค. ขณะที่นักลงทุนต้องการใช้เงินสดที่สะสมไว้ และข้อมูลของมอร์แกน สแตนเลย์ระบุว่า ตัวเลขในเดือนม.ค.ทำลายสถิติสูงสุดครั้งก่อนที่ 3.3 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนม.ค.2018
- วาณิชธนกิจระดับโลกได้ปรับเพิ่มคาดการณ์ค่าเงินหยวนในปีนี้จากการคาดการณ์ว่า การเปิดประเทศของจีน และการตัดสินใจผ่อนคลายมาตรการควบคุมอสังหาริมทรัพย์ของจีนจะกระตุ้นเงินทุนไหลเข้าเป็นจำนวนมาก ซึ่งคาดการณ์ว่าค่าเงินหยวนจะปิดปีนี้ที่ระดับ 6.5 ต่อดอลลาร์ พุ่งขึ้น 3.6% จากระดับปัจจุบัน ซึ่งค่าเงินหยวนทะยานขึ้นกว่า 7% แล้วจากระดับต่ำสุดในช่วงปลายเดือนพ.ย. มาที่ 6.7497 ต่อดอลลาร์ในวันพุธที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นราว 2.2% แล้วนับตั้งแต่ต้นปีนี้ และถ้าหยวนปิดปีนี้ที่ 6.5 ต่อดอลลาร์ ก็จะแข็งค่าขึ้น 6.15% ในปีนี้ ซึ่งเป็นการแข็งค่ามากที่สุดตั้งแต่ปี 2020
- รองผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) เตือนให้ระวังการลดประสิทธิภาพของเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อ 2% ของบีโอเจ โดยระบุว่า การดำเนินการดังกล่าวจะบั่นทอนผลจากนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายเป็นพิเศษ ซึ่งเขาออกมาแสดงความเห็นนี้หลังจากคณะนักวิชาการเสนอเพื่อทำให้เป้าหมายเงินเฟ้อเป็นเป้าหมายระยะยาว แทนที่จะเป็นเป้าหมายที่ต้องบรรลุในทันที เพื่อให้บีโอเจสามารถขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างยืดหยุ่นมากขึ้นได้
ข่าวเกี่ยวกับตลาดหุ้นและเศรษฐกิจ
- ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบในวันพฤหัสบดี โดยถูกกดดันจากการร่วงลงของหุ้นบริษัทเฮลธ์แคร์ ขณะที่ดัชนี S&P500 และ Nasdaq พุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่ง ขานรับนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ส่งสัญญาณชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย รวมทั้งผลประกอบการของบริษัทเมตา แพลตฟอร์มส์ที่ออกมาดีเกินคาด
- ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 34,053.94 จุด ลดลง 39.02 จุด หรือ -0.11%
- ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 4,179.76 จุด เพิ่มขึ้น 60.55 จุด หรือ +1.47%
- ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 12,200.82 จุด พุ่งขึ้น 384.50 จุด หรือ +3.25%
- อัตราเงินเฟ้อในประเทศสมาชิกยูโรโซน 20 ประเทศชะลอตัวลงสู่ 8.5% ในเดือนม.ค. จาก 9.2% ในเดือนธ.ค. ซึ่งถือเป็นการชะลอตัวลงเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน และอยู่ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ในโพลล์รอยเตอร์ที่ 9.0% สำหรับเดือนม.ค.
ข่าวเกี่ยวกับน้ำมันและพลังงาน
- สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบในวันพฤหัสบดี (2 ก.พ.) โดยได้รับแรงกดดันจากการแข็งค่าของดอลลาร์ และข้อมูลภาคการผลิตที่ซบเซาของสหรัฐ
- สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมี.ค. ลดลง 53 เซนต์ หรือ 0.7% ปิดที่ 75.88 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 10 ม.ค.
- สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนเม.ย. ลดลง 67 เซนต์ หรือ 0.8% ปิดที่ 82.17 ดอลลาร์/บาร์เรล
- กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า คำสั่งซื้อภาคโรงงานของสหรัฐเพิ่มขึ้นเพียง 1.8% ในเดือนธ.ค. ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะพุ่งขึ้น 2.2% ส่วนยอดสั่งซื้อสินค้าทุนพื้นฐานซึ่งที่ไม่รวมหมวดอาวุธและเครื่องบิน ลดลง 0.1% ในเดือนธ.ค. โดยยอดสั่งซื้อสินค้าทุนพื้นฐานเป็นมาตรวัดความเชื่อมั่นและแผนการใช้จ่ายในภาคธุรกิจ
- จอห์น คิลดัฟฟ์ นักวิเคราะห์จากบริษัท Again Capital กล่าวว่า ข้อมูลดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ โดยเฉพาะในภาคการผลิต ซึ่งทำให้นักลงทุนกังวลว่าภาวะซบเซาทางเศรษฐกิจจะส่งผลให้ความต้องการใช้น้ำมันชะลอตัวลงด้วย
ข่าวเกี่ยวกับการเมืองและการเมืองระหว่างประเทศ
- สหรัฐได้เปิดสถานทูตแห่งใหม่ในหมู่เกาะโซโลมอน ซึ่งเป็นประเทศในภูมิภาคแปซิฟิกใต้ โดยเป็นส่วนหนึ่งของการเพิ่มสถานะทางการทูตของสหรัฐในภูมิภาคนี้ ขณะที่จีนพยายามเพิ่มอิทธิพลในภูมิภาคนี้ด้วยเช่นกัน
- กระทรวงการต่างประเทศของเกาหลีเหนือขู่ว่าจะโต้กลับอย่างรุนแรงที่สุด หลังเกาหลีใต้กับสหรัฐประกาศยกระดับการฝึกซ้อมรบร่วมกันเพื่อตอบโต้ที่เกาหลีเหนือพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ พร้อมระบุว่าฝ่ายพันธมิตรกำลังทำให้ความตึงเครียดเพิ่มถึงขีดสุด
- ทำเนียบขาวได้ออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหาของเกาหลีเหนือที่ว่า การซ้อมรบในภูมิภาคเป็นการยั่วยุ พร้อมระบุว่าสหรัฐไม่ต้องการเป็นศัตรูกับเกาหลีเหนือ
- บรรดาอาจารย์ พนักงานมหาวิทยาลัย คนขับรถไฟ และข้าราชการพลเรือนอังกฤษราว 5 แสนรายรวมตัวกันหยุดงานประท้วงเพื่อเรียกร้องค่าจ้างเพิ่มขึ้น นับเป็นการรวมตัวประท้วงครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายปี อันเนื่องมาจากปัญหาข้อพิพาทด้านค่าจ้างที่ยืดเยื้อ
- บริษัทวิเคราะห์ข้อมูลด้านความมั่นคงของสหรัฐ กล่าวว่า บริษัทมีส่วนสำคัญในการชี้เป้าหมายในการทำศึกให้กับยูเครน พร้อมชี้แจงรายละเอียดเกี่ยวกับการทำงานร่วมกับยูเครน นับตั้งแต่รัสเซียเปิดฉากรุกรานยูเครนเมื่อวันที่ 24 ก.พ.ปีที่แล้ว
ข่าวเกี่ยวกับโรคระบาด
- สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานผลการศึกษาใหม่ ซึ่งพบว่า ยารักษาโควิด-19 ของบริษัทเมอร์ค แอนด์ โค (Merck & Co) ก่อให้เกิดการกลายพันธุ์ของเชื้อโควิด-19 ในผู้ป่วยบางราย
ข่าวเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทยและค่าเงินบาท
- นักบริหารการเงิน ระบุว่า ปัจจัยกดดันเงินบาทให้อ่อนค่าลงนับตั้งแต่ช่วงปิดตลาดวันก่อนหน้า คือ การพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์และโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว แต่จะเห็นได้ว่า ค่าเงินบาทยังคงเคลื่อนไหวใกล้โซนแนวต้านแรก แถว 33.00 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นโซนที่ผู้ส่งออกบางส่วนก็รอทยอยขายเงินดอลลาร์อยู่ โดยเช้านี้ค่าเงินบาทเปิดที่ระดับ 33.00 บาทต่อดอลลาร์ "อ่อนค่าลง”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 32.84 บาทต่อดอลลาร์
- ธนาคารซิตี้แบงก์ ประเทศไทย ยังคงคาดการณ์ว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็น 2.25% ภายในไตรมาส 3/66 หลังจากเมื่อวันที่ 25 ม.ค. ที่ผ่านมา มีมติเอกฉันท์ขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ต่อปี เป็น 1.50% อันเป็นผลจากภาพรวมเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง และความกังวลต่อเศรษฐกิจโลกของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ลดลง รวมถึงมุมมองต่อภาคการท่องเที่ยวที่ดีขึ้น ภายหลังการเปิดประเทศจีน
- รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เผยผลการสำรวจ พบว่าผู้บริหารส่วนใหญ่ประเมินการเปิดประเทศของจีน ส่งผลเชิงบวกให้เศรษฐกิจของประเทศขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวที่คาดว่าจะขยายตัวจากนักท่องเที่ยวชาวจีน ซึ่งจะช่วยกระตุ้นอุปสงค์ในประเทศ รวมทั้งความต้องการและอุปสงค์ในสินค้าที่ขยายตัวจากการที่จีนผ่อนคลายมาตรการให้ดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนการส่งออกสินค้าของไทยไปยังจีนให้ขยายตัวมากขึ้นด้วย
ที่มาจาก : Reuters, Infoquest, BangkokBizNews
Tags : ข่าวทอง, ข่าวทอง , ทอง , ราคาทอง