• สรุปข่าวราคาทองคำ ประจำวันที่ 12 มกราคม 2565

    12 มกราคม 2565 | Gold News

ข่าวเกี่ยวกับทองคำ


  • สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเกือบ 20 ดอลลาร์ในเมื่อวานนี้ โดยได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์ และจากการที่นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ ไม่ได้ส่งสัญญาณเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในระดับรุนแรงกว่าที่เฟดได้ส่งสัญญาณไว้ก่อนหน้านี้

·                        ราคาทองคำตลาดโลก ปรับเพิ่มขึ้น 1% ที่ระดับ 1819.58 เหรียญ 

·                        สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือนก.พ. เพิ่มขึ้น 19.7 ดอลลาร์ หรือ 1.1% ปิดที่ 1,818.5 เหรียญ

·                        สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนมี.ค. เพิ่มขึ้น 35 เซนต์ หรือ 1.56% ปิดที่ 22.812 เหรียญ

        กองทุนทองคำ SPDR เมื่อวานนี้ขายออก 0.87 ตัน ปัจจุบันถือครองที่ 976.21 ตัน ภาพรวมเดือนมกราคม ซื้อสุทธิ 0.55 ตัน


ข่าวเกี่ยวกับค่าเงิน และธนาคารกลาง


  • ถ้อยแถลงของนายพาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ กล่าวว่าอีกยาวนานกว่านโยบายการเงินจะเข้าสู่ภาวะปกติ” ("a long road to normal monetary policy”) ลดโทนความเข้มงวดของการดำเนินนโยบายการเงินของ Fed ในวันก่อนหน้า ส่งผลบวกต่อราคาทองคำ


o    ดัชนีดอลลาร์  ปรับตัวลดลง -0.39 จุด หรือ -0.41% มาอยู่ที่ระดับ 95.6 จุด

o    ค่าเงินบาท  ปรับตัวลดลง -0.01 บาท หรือ -0.02% มาอยู่ที่ระดับ 33.3 บาทต่อดอลลาร์

o    อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี   ปรับตัวลดลง -0.023 เบสิสพ้อยท์ มาอยู่ที่ระดับ 1.739 %


  • นักบริหารด้านการเงิน เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ  33.30 บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่าสูงสุดในรอบเกือบ1สัปดาห์ จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ  33.41 บาทต่อดอลลาร์ มองกรอบเงินบาทวันนี้คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.20-33.40 บาทต่อดอลลาร์


  • นายพาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ ยืนยันว่า Fed จะทำสิ่งที่จำเป็นเพื่อจัดการเงินเฟ้อที่ปรับตัวสูงขึ้นและทำให้เศรษฐกิจสามารถขยายตัวต่อไปได้ และในถ้อยแถลงได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับแนวทางนโยบายทางการเงินในระยะข้างหน้า ได้แก่ (1) Fed อาจขึ้นดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง (2) จะใช้เครื่องมือที่ Fed มีเพื่อปรับลดเงินเฟ้แให้อยู่ในภาวะปกติ (3) Fed จะเริ่มลดขนาดงบดุลธนาคารกลางในปีนี้ (ซึ่งปัจจุบันมีขนาด 8.77 ล้านล้านเหรียญ)


  • นาย Powell ถูกตั้งคำถามว่า "เหตุใดคุณจึงกล่าวว่าเงินเฟ้อนี้จะคงอยู่แค่เพียงชั่วคราว และเหตุใดสหรัฐจึงมีอัตราเงินเฟ้อที่สูงกว่าประเทศอื่น?" นาย Powell ตอบว่า โรคระบาดที่เกิดขึ้นได้สร้างสภาวะแวดล้อมอย่างเป็นเอกเทศ ซึ่งเฟดเอง ก็เหมือนกับธนาคารกลางของประเทศอื่น ๆ ที่คาดหวังให้อัตราเงินเฟ้อปรับตัวลดลงกลับไปสู่ระดับปกติให้เร็วขึ้น และไม่ได้ต้องการให้ระดับเงินเฟ้อขึ้นสูงเกินไป โดยเขาไม่เห็นความคืบหน้าในการแก้ปัญหาทางด้านห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุของเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น


  • นาย Paul Ashworth จาก Capital Economics ระบุว่า จากแถลงของนาย Powell วันนี้ชี้ให้เห็นว่า เฟดยังคงยืนกรานที่จะมีการขึ้นดอกเบี้ยในเดือนมีนาคม ซึ่งนาย Ashworth คาดการณ์ว่า เฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ย 4 ครั้ง ในกรอบ 1-1.25% ภายในปลายปีนี้ และปรับขึ้นไปที่ระดับ 2-2.25% ภายในปลายปี 2023


  • Mester ประธาน Fed สาขาคลีฟแลนด์ กล่าวว่า Fed อาจจำเป็นต้องเปลี่ยนความคิดทางด้านนโยบายเนื่องจากอัตราเงินเฟ้ออยู่เกินกว่าระดับที่เฟดอยากให้เป็น และ Fed ไม่สามารถเพิกเฉยต่อความตึงตัวในตลาดแรงงานในระยะสั้นและระยะกลางได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่เด่นชัดมากที่ Fed จะต้องจัดการกับปัญหาเงินเฟ้อที่สูงเกินไปและตลาดแรงงานที่แข็งแกร่ง


  • Bostic ประธาน Fed สาขาแอตแลนตา ระบุว่า บัญชีงบดุลของสหรัฐอาจลดลงอย่างน้อย 1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน


  • George ประธาน Fed สาขาแคนซัสซิตี้ กล่าวว่า ถึงเวลาที่จะทำให้นโยบายการเงินกลับมาเป็นปกติ Fed ควรเร่งปรับลดงบดุลบัญชีธนาคารกลาง ให้ลดลงเร็วกว่าปรับลดงบดุลบัญชีในรอบก่อนหน้า


  • นักกลยุทธ์จาก Goldman Sachs คาดว่า อัตราผลตอบแทนที่แท้จริง หรือ Real yield จะไม่สามารถปรับตัวสูงขึ้นต่อไปได้อีกมากนัก โดยคาดว่าการเทขายพันธบัตรที่มีอายุยาวที่กดดันอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสูงขึ้นใกล้จะจบสิ้นในเร็วๆนี้ (หมายเหตุุ อัตราผลตอบแทนที่แท้จริง หรือ Real yield = อัตราผลตอบแทนพันธบัตร - อัตราเงินเฟ้อคาดการณ์)


  • นักวิเคราะห์จากธนาคาร ING ชี้ว่า แม้ดอลลาร์จะอ่อนตัวในช่วงสัปดาห์ก่อน แต่ยังคงแนะนำให้ซื้อดอลลาร์เมื่ออ่อนตัวจากแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินตึงตัวของธนาคารกลางสหรัฐ และดอลลาร์เองก็เป็นสินทรัพย์ที่ได้ประโยชน์ในการใช้นโยบายการเงินตึงตัวนั้น และยังให้ความเห็นว่า ในสัปดาห์นี้จะการประกาศตัวเลขเงินเฟ้อในเดือนธันวาคมจะหนุนให้ธนาคารกลางสหรัฐใช้นโยบายการเงินตึงตัว และคาดว่าดอลลาร์จะปรับตัวสูงขึ้นตามภาวะนโยบายการเงินตึงตัว


  • สถาบันจัดอันดับ Fitch Ratings คาดการณ์ว่าเฟดจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 2 ครั้งในปีนี้ และ 4 ครั้งในปี 2023


ข่าวเกี่ยวกับตลาดหุ้นและเศรษฐกิจ


ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวก โดยหุ้นกลุ่มพลังงานและกลุ่มเทคโนโลยีพุ่งขึ้นนำตลาด หลังจากนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ ไม่ได้ส่งสัญญาณเรื่องทิศทางอัตราดอกเบี้ยที่แตกต่างไปจากเดิม นอกจากนี้ นายพาวเวลยังเชื่อมั่นว่า แผนการใช้นโยบายคุมเข้มด้านการเงินของเฟดจะไม่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการจ้างงานของสหรัฐ


o    ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 36,252.02 จุด เพิ่มขึ้น 183.15 จุด หรือ +0.51%

o    ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,713.07 จุด เพิ่มขึ้น 42.78 จุด หรือ +0.92%

o    ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 15,153.45 จุด พุ่งขึ้น 210.62 จุด หรือ +1.41%


  • นักกลยุทธ์จาก JPMorgan ระบุว่าตลาดหุ้นสามารถทนทานอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่ปรับตัวขึ้นได้ และตลาดหุ้นมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อได้ โดยให้เหตุผลว่า ตราบเท่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับตัวขึ้นตามหลักเหตุผลที่ถูกต้อง เช่น การเติบโตของผลประกอบการที่ดีขึ้น และแม้แต่การปรับขึ้นของอัตราผลตอบแทนที่แท้จริงหรือ Real yield ก็จะไม่ดึงตลาดหุ้นหรือกิจกรรมทางเศรษฐกิจลง อย่างน้อยจนกว่าจะอัตราดังกล่าวจะกลับไปมีค่าเป็นบวก หรืออาจจะยาวนานตราบเท่าที่อัตราดังกล่าวยังคงต่ำว่า อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แท้จริง (Real potential growth) (หมายเหตุ ภาวะตลาดที่ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้น อาจทำให้เกิดภาวะตลาดเกิดภาวะชอบเปิดรับความเสี่ยง หรือ Risk-on ส่งผลลบต่อราคาทองคำที่เป็นทรัพย์สินปลอดภัย)


  • นักกลยุทธ์จาก BlackRock, JPMorgan, UBS การเทขายหุ้นในช่วงที่ผ่านมาจบสิ้นแล้ว และมองว่าตลาดหุ้นพร้อมปรับตัวขึ้นต่อ (หมายเหตุ ภาวะตลาดที่ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้น อาจทำให้เกิดภาวะตลาดเกิดภาวะชอบเปิดรับความเสี่ยง หรือ Risk-on ส่งผลลบต่อราคาทองคำที่เป็นทรัพย์สินปลอดภัย)


  • Goldman Sachs ปรับลดคาดการณ์ GDP ของจีนในปี 2022 ลงสู่ระดับ 4.3% จากเดิมคาดการณ์ไว้ที่ 4.8%


  • ปัญหาภาพอสังหาริมทรัพย์ในประเทศจีนระบาดไปยังบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่เคยมีฐานะการเงินดีอย่างบริษัทชิเหมา (Shimao) ที่รายงานการผิดชำระหนี้ของบริษัทฯ ส่งสัญญาณความกังวลในตลาดอสังหาริมทรัพย์จีนต่อไป

 

ข่าวเกี่ยวกับเงินเฟ้อ


  • นักลงทุนกังวลว่า อัตราเงินเฟ้อสหรัฐประจำเดือนธันวาคมที่จะประกาศในวันพุธนี้จะขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ในรอบ 38 ปี ในขณะทีหุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวสูงขึ้นจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวสูงขึ้น


  • ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ JPMorgan นายเจมี่ ไดมอน ระบุว่า เงินเฟ้อในระบะเศรษฐกิจสูงมากจน Fed อาจจะขึ้นดอกเบี้ย 4 ครั้งในปีนี้ สอดคล้องกับมุมมองของนักวิเคราะห์จาก Goldman Sachs


  • องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) เปิดเผยอัตราเงินเฟ้อในเดือนพฤศจิกายนเพิ่มขึ้นในอัตราสูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ปี 1996 หรือสูงสุดในรอบ 25 ปีที่ระดับ 5.8% ต่อปี เนื่องจากค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก ทั้งนี้ OECD ระบุว่า ราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นเป็นปัจจัยหลัก โดยพุ่งขึ้นไป 27.7% เป็นระดับที่สูงอย่างรวดเร็วจากเดือนตุลาคมที่ 24.3%


  • อัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงในอินเดีย กำลังเป็นปัญหาหลักของเศรษฐกิจ ในขณะที่อินเดียกำลังเผชิญกับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกที่สาม อินเดียยังเผชิญปัญหาเงินเฟ้อที่เร่งตัวสูงขึ้น กดดันเศรษฐกิจอินเดีย ทำให้ปัญหาเงินเฟ้อที่เป็นปัญหาเรื้อรังของเศรษฐกิจอินเดียยาวนานกว่า 3 ปี ถูกทวีความรุนแรงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา

 

ข่าวเกี่ยวกับน้ำมันและพลังงาน

 

ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นใกล้แตะระดับ 84 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลเมื่อวานนี้ โดยได้รับแรงหนุนจากอุปทานที่ตึงตัว ท่ามกลางจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่เพิ่มขึ้นและการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสสายพันธ์ุโอมิครอน อาจกระทบต่อการฟื้นตัวของอุปสงค์ทั่วโลก


·         สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.พ. พุ่งขึ้น 2.99 ดอลลาร์ หรือ 3.8% ปิดที่ 81.22 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 11 พ.ย. 2564

·         สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนมี.ค. พุ่งขึ้น 2.85 ดอลลาร์ 3.5% ปิดที่ 83.72 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 9 พ.ย. 2564

 

ข่าวเกี่ยวกับ Covid-19


  • สำนักข่าว NBC News รายงานว่า ในสหรัฐมีผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่เมื่อวันจันทร์ 1,343,167 ล้านคน ซึ่งนับเป็นยอดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ จากระดับสูงสุดครั้งก่อน 1,044,970 คนเมื่อวันที่ 3 มกราคมที่ผ่านมา


  • สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในไทยวันนี้ พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 7,681 ราย ผู้ป่วยสะสม 68,855 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565) รวมยอดติดเชื้อสะสม 2,292,290 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 22 ราย เสียชีวิตสะสม 21,872 ราย 


  • สำนักข่าว Reuters รายงานว่า ทางสหรัฐตกลงกับบริษัท GSK บริษัทยายักษ์ใหญ่ของสหราชอาณาจักรและบริษัท Vir Biotechnology จากสหรัฐเพื่อซื้อยารักษาโควิด-19 ที่ชื่อ Sotrovimab ที่สามารถต้านทานเชื้อโอไมครอน จำนวน 600,000 โดสเพิ่ม


  • จีนคุมเข้มจำกัดการเข้าออกรถยนต์พร้อมตรวจทั้งคนงานและคนขับรถบรรทุกในเมืองเสิ่นเจิ้นป้องกันการระบาดไวรัสโควิดสายพันธุ์โอมิครอน เนื่องจากทางการจีนมีความกังวลว่าอาจเกิดการระบาดของเชื่อไวรัสโควิดจากการนำเข้าสินค้า จากมีกรณีตรวจพบพนักงานบริษัทขนส่งระหว่างประเทศติดเชื้อโควิดและเข้าสู่จีน การตรวจที่เข้มงวดทำให้มีเรือจำนวนมากจอดรถขนสินค้าที่ท่าเรือ นำไปสู่ความกังวลว่าจะส่งผลให้เกิดความติดขัดของการขนส่งระหว่างประเทศ

พิเศษ : รวบรวมถ้อยแถลงของนายพาวเวลล์ ดังนี้


  • เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยให้เร็วขึ้นหากมีความจำเป็น  โดยทางเฟดพร้อมทำงานจัดการถึงความเป็นไปได้ที่จะทำให้บัญชีงบดุลลดลง


  • อัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูงเป็นภัยคุกคามต่อการจ้างงาน โดยตลาดแรงงานกำลังฟื้นตัวอย่างรวดเร็วและไม่น่าเชื่อ และเศรษฐกิจสหรัฐไม่จำเป็นต้องต้องใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายอีกต่อไป


  • หากเราต้องเพิ่มอัตราดอกเบี้ยขึ้นไปอีก เราก็จะทำ ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่สหรัฐอาจยังคงระดับอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำมากต่อไป


  • ณ ขณะนี้ เฟดจำเป็นต้องให้ความสนใจมากขึ้นในเรื่องของฝั่งเงินเฟ้อมากกว่าฝั่งตลาดแรงงาน


  • เขาคาดหวังให้เศรษฐกิจสามารถทรงตัวอยู่ได้ในสภาวะของโรคระบาดในปัจจุบันรวมไปถึงในอนาคต โดยอาจมีการลดการจ้างงานและชะลอการเติบโตของเศรษฐกิจเนื่องจากเชื้อโอไมครอน แต่ควรจัดการให้เร็วในระยะสั้น ทั้งนี้ ในไตรมาสถัด ๆ ไปอาจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจหลังจากจัดการกับโอไมครอนได้แล้ว


  • แรงกดดันเรื่องเงินเฟ้อยังคงมีอยู่ต่อไปตลอดปีนี้ และหากเป็นเช่นนั้นก็จะมีการปรับเปลี่ยนนโยบายให้เหมาะสม แต่หากเงินเฟ้อคงอยู่นานกว่านั้นก็จำเป็นต้องมีนโยบายตอบโต้ ปีนี้นาย Powell มีความต้องการจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และสิ้นสุดการเข้าซื้อสินทรัพย์ต่าง ๆ และจะดำเนินการลงขนาดงบดุลบัญชีในช่วงปลายปีนี้ อย่างไรก็ตามเฟดยังไม่ได้ตัดสินใจในเรื่องช่วงเวลา


  • สำหรับเรื่องที่เฟดจะออกสกุลเงินดิจิตอลเป็นของตนเองหรือไม่นั้น นาย Powell กล่าวว่า จริง ๆ แล้วมีการเตรียมรายงานพร้อมไว้อยู่แล้ว ชี้ให้เห็นว่า รายงานในเรื่องของสกุลเงินดิจิตอลของเฟดนั้นจะมีการตีพิมพ์ในไม่กี่สัปดาห์ที่จะถึงนี้ อย่างไรก็ตามประเด็นนี้ถูกทำให้ล่าช้ามาตั้งแต่ฤดูใบไม้ผลิที่ผ่านมาเนื่องจากเหล่าประธานเฟดสาขาต่าง ๆ ให้ความสนใจในเรื่องของการหารือด้านนโยบายการเงินมากกว่า

 

บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com