MTS Help Center

U.S. ECONOMIC DATA: รายงานการประกาศข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ สะท้อนเศรษฐกิจยังแกร่ง

ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ เมื่อวานนี้สะท้อนกิจกรรมทางเศรษฐกิจยังขยายตัวได้รวดเร็วในปีนี้ แม้จะเผชิญภาวะเงินเฟ้อและการขาดแคลนแรงงานและส่วนประกอบต่างๆ ตั้งแต่ที่ไวรัสระบาด

 - จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ปรับตัวลดลง 71,000 รายเมื่อเทียบสัปดาห์ก่อน สู่ระดับ 199,000 ราย ถือเป็นการปรับตัวลดต่ำกว่า 200,000 ราย และยังเป็นการทำต่ำสุดตั้งแต่กลางเดือนพ.ย. ปี 1969 หรือคิดเป็นต่ำสุดรอบ 52 ปี

- เชื่อมั่นผู้บริโภคแกร่งเกินคาดในเดือนต.ค. ท่ามกลางข้อมูลเงินเฟ้อที่ร้อนแรงอีกครั้ง  โดยผลสำรวจความเชื่อมั่นผู้บริโภคจากมหาวิทยาลัยมิชิแกนปรับขึ้นดีกว่าประมาณการณ์ครั้งก่อนสู่ระดับ 67.4 จุด ในเดือนพ.ย.

- Goods Trade Balance พบมียอดขาดดุลลดลงประมาณ 14.6% สู่ระดับ -8.29 หมื่นล้านเหรียญในเดือนต.ค.จากระดับ -9.63 หมื่นล้านเหรียญ

อย่างไรก็ดี ก็มีตัวเลขเศรษฐกิจบางตัวที่ออกมาในเกณฑ์ทรงตัวหรือไม่ค่อยดีนัก

-  ประมาณการณ์จีดีพีไตรมาสที่ 3/2021 ที่ประกาศครั้งที่ 2  ของสหรัฐฯ ออกมาแย่กว่าคาดการณ์และดีขึ้นจากเดิมเล็กน้อยมาที่ระดับ 2.1%

- ยอดคำสั่งซื้อสินค้าคงทนสหรัฐฯ ออกมาแย่ลงมากกว่าคาด -0.5% ในเดือนต.ค. จาก -0.3%

- ยอดคำสั่งซื้อสินค้าคงทนที่ไม่รวมภาคการขนส่ง (Core Durable Goods Orders) ออกมาทรงตัวที่ 0.5%

- ยอดขายบ้านใหม่สหรัฐฯในเดือนต.ค. ออกมาแย่กว่าคาด สู่ระดับ 745,000 ยูนิต แต่ดีกว่าเดิมเล็กน้อยประมาณ 0.4% โดยที่ตัวเลขเดือนก.ย.ถูกปรับทบทวนมาที่ 742,000 ยูนิต (จากตอนประกาศที่ 800,000 ยูนิต)

หนึ่งในดัชนีชี้วัดเงินเฟ้อทางเศรษฐกิจสหรัฐฯของเฟด หรือ PCE Price Index ปรับขึ้นรายปีแตะ 4.1% ถือเป็นสูงสุดตั้งแต่ม.ค. ปี 1991 ในเดือนต.ค. หลังจากปรับขึ้นมาที่ 3.7% เมื่อเทียบรายปีในเดือนก.ย.

ภาพรวมดัชนี Core PCE Price Index เป็นหนึ่งในมาตรวัดเงินเฟ้อที่มีความยืดหยุ่นกว่าระดับเป้าหมาย 2% ของเฟด ที่ไม่รวมราคาอาหารและพลังงานพบว่าขยายตัวได้ 5% เมื่อเทียบรายปี ถือเป็นการขยายตัวได้รวดเร็วมากที่สุดนับตั้งแต่ พ.ย. ปี 1990

เฟดสาขาแอตแลนต้า เผยคาดการณ์จีดีพีสหรัฐฯไตรมาสที่ 4/2021 จะยังเห็นแนวโน้มเศรษฐกิจมีแรงหนุนฟื้นตัวได้ต่อ คาดขยายตัวได้ 8.6% จากคาดการณ์ก่อนหน้า 8.2%

JPMorgan คาดการณ์จีดีพีไตรมาสที่ 4/2021 จะขยายตัวได้ 7.0% เป็นการปรับเพิ่มคาดการณ์จากเดิมที่คาดไว้ 5.0%

ที่มา: Reuters, CNBC