เฟดคงดอกเบี้ยใกล้ศูนย์ เล็งเห็นเศรษฐกิจฟื้นตัวเร็ว – เงินเฟ้อสูงขึ้น
ผลการประชุมเฟดเมื่อคืนนี้ เฟดมีมติเอกฉันท์ที่จะไม่เปลี่ยนแปลงแนวทางการดำเนินนโยบายใดๆ และมองว่าการใช้นโยบายในเวลานี้เหมาะสมแล้ว พร้อมให้สัญญาณว่าจะยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆในเร็วๆนี้ และภาพรวมการประชุมสรุปได้ว่า
- เฟดยังคงแนวทางการดำเนินนโยบายการเงินต่อไป แม้จะเห็นทิศทางเศรษฐกิจมีการเติบโตได้อย่างรวดเร็ว
- เฟดคงดอกเบี้ยตามคาดใกล้ระดับศูนย์ (0-0.25%)
- เฟดยังคงการเข้าซื้อพันธบัตรในวงเงิน 1.2 แสนล้านเหรียญ/เดือน
- เฟดมองว่าการใช้สองมาตรการดังกล่าวมีขึ้นเพื่อพยายามสนับสนุนให้เศรษฐกิจแข็งแกร่งตั้งแต่เริ่มปี 2021 และช่วยหนุนให้ตราสารหนี้ระยะยาว 30 ปี ยังเคลื่อนไหวไปถึง 3% ได้
- เฟดมองว่า ถึงแม้ “เศรษฐกิจสหรัฐฯจะแข็งแกร่ง” ควบคู่กับ “เงินเฟ้อที่ปรับตัวสูงขึ้น” แต่ก็เป็นเพียงชั่วคราวเท่านั้น
นายเจอโรม โพเวลล์ ประธานเฟด กล่าวถ้อยแถลงโดยระบุว่า การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจยังอยู่ห่างไกลจากการฟื้นตัวโดยสมบูรณ์ แต่เขากล่าวย้ำถึงการจะเห็นแรงกดดันเงินเฟ้อเพิ่มมากขึ้นในอีกหลายเดือนข้างหน้า พร้อมมองว่าการขึ้นของราคาสินค้าต่างๆมีแนวโน้มว่าจะเป็นผลกระทบให้เงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น
ขณะเดียวกัน ประธานเฟด กล่าวเพิ่มเติมว่า ยังไม่ใช่เวลาที่จะหารือกันถึงเรื่องการลดนโยบายผ่อนคลายทางการเงินต่างๆ อาทิ การเข้าซื้อพันธบัตรในตอนนี้ เนื่องด้วยเฟดต้องรอความคืบหน้าอย่างยั่งยืน
ทั้งนี้ บรรดาสมาชิกเฟดมองว่า ความคืบหน้าด้านวัคซีนและการใช้นโยบายสนับสนุนที่แข็งแกร่ง จะเป็นตัวช่วยสำคัญสำหรับกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และเสริมการจ้างงานให้มีความแข็งแกร่งมากขึ้น
ภาคส่วนต่างๆส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของไวรัส จึงยังเห็นได้ถึงความอ่อนแอ แต่ก็ยังเห็นถึงการฟื้นตัว
ด้านเงินเฟ้อมีการปรับขึ้นเป็นการชั่วคราว และภาพโดยองค์รวมสะท้อนว่าเงื่อนไขทางการเงินยังต้องการการผ่อนคลายต่อไป เพราะเป็นสวนหนึ่งที่ช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจและความคล่องตัวทางสินเชื่อแก่ภาคครัวเรือนในสหรัฐฯและภาคธุรกิจ
อย่างไรก็ดี สมาชิกเฟดกล่าวย้ำว่า ความคืบหน้าทางเศรษฐกิจจะขึ้นอยู่กับทิศทางการระบาดของไวรัสโคโรนาด้วย เพราะวิกฤตด้านสุขภาพที่ยังดำเนินอยู่เป็น “ปัจจัยกดดัน” เศรษฐกิจ และยังเป็นความเสี่ยงต่อแนวโน้มเศรษฐกิจด้วย
สถานการณ์การพบยอดติดเชื้อรายวันของสหรัฐฯปรับตัวลดลง จากโครงการฉีดวัคซีนที่สามารถฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชนได้มากถึงเกือบ 3 ล้านคนต่อวัน
ที่มา: CNBC