• สรุปข่าวราคาทองคำ (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 31 มีนาคม 2564

    31 มีนาคม 2564 | Gold News



ทองคำปรับตัวลงเกือบ 2% ทำต่ำสุดในรอบเกือบ 3 สัปดาห์ หลังอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯปรับขึ้น

ราคาทองคำปรับตัวลดลงไปเกือบ 2โดยได้รับผลกระทบจาก 2 ปัจจัยสำคัญ ได้แก่
1) การปรับขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปีของสหรัฐฯ ทำสูงสุดรอบ 14 เดือน
2) การแข็งค่าของดอลลาร์
3) ความหวังเศรษฐกิจสหรัฐฯฟื้นตัวได้รวดเร็ว
4) ความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยลดน้อยลง

·         ราคาทองคำตลาดโลกปิด -1.7% ที่ระดับ 1,682.81 เหรียญ หลังจากที่ช่วงต้นตลาดปรับลงไปกว่า 2ทำต่ำสุดตั้งแต่ 8 มี.ค. บริเวณ 1,678.4 เหรียญ (เข้าใกล้ต่ำสุดเดิมในวันนั้นที่ทำไว้ 1,676 เหรียญ)

 

·         สัญญาทองคำส่งมอบเดือนมิ.ย. ปิด -1.7% ที่ระดับ 1,686 เหรียญ

 

 

·         กองทุนทองคำ SPDR เมื่อวานนี้ไม่ได้ทำอะไรเพิ่มเติม โดยปัจจุบันถือครองทองคำที่ระดับ 1,037.5 ตัน

 

·         นักวิเคราะห์ฝ่ายการตลาดอาวุโสจาก OANDA กล่าวว่า ระยะสั้นๆ ทองคำดูจะค่อนข้างเคลื่อนไหวใน “ทิศทางขาลง” จากดอลลาร์ที่แข็งค่าและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่ปรับขึ้น ขณะที่นักลงทุนประเมินกับความกังวลเรื่องเงินเฟ้อ ที่ประเด็นหลังนี้อาจช่วยกระตุ้นให้เกิดแรงซื้อกลับในตลาดทองคำได้

 

 

·         ราคาพลาเดียมปิดปรับขึ้น +1.8% ที่ระดับ 2,574.26 เหรียญ หลังจากที่ช่วงต้นตลาดปรับขึ้นไปกว่า 3% หลังดิ่งลงกว่า 5.5% ในการซื้อขายวันก่อนหน้า

 

·         กรรมการผู้จัดการจาก CPM Group กล่าวว่า ราคาพลาเดียมมีแนวโน้มจะเผชิญภาวะตลาดตึงตัวในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้ ขณะที่ราคามีแนวโน้มจะเคลื่อนไหวได้ดีเหนือ 2,100 เหรียญ เป็นเวลาอย่างน้อย 2 ปีจากนี้

อย่างไรก็ดี อุปสงค์ในกลุ่มการผลิตรถยนต์จะเป็นปัจจัยสำคัญที่หนุนให้ค่าพรีเมียมของพลาเดียมปรับตัวขึ้นสูงกว่าราคาแพลทินัมได้ แต่อุปสงค์ดังกล่าวในเวลานี้ก็เป็นตัวแปรในการจำกัดการปรับขึ้นของราคา

·         ราคาซิลเวอร์ปิด -2.5ที่ 24.05 เหรียญ ขณะที่ราคาแพลทินัมปิด -1.8ที่ 1,154.89 เหรียญ

 

·         ดอลลาร์ทำแข็งค่ามากสุดรอบ 1 ปีเมื่อเทียบเยน ท่ามกลางความหวังเศรษฐกิจสหรัฐฯฟื้นตัว

 

ดัชนีดอลลาร์เช้านี้ยังทรงตัวได้ดีเหนือ 93 จุด และมีการทำแข็งค่ามากสุดวานนี้บริเวณ 93.357 จุด โดยดัชนีดอลลาร์ค่อยๆปรับขึ้นมาเหนือ 90 จุดได้นับตั้งแต่เริ่มต้นเดือนมี.ค.นี้ ซึ่งถือว่าเดือนนี้เป็นเดือนที่ดีที่สุดสำหรับดอลลาร์นับตั้งแต่ปี 2016

 

ค่าเงินเยนทำอ่อนค่ามากสุดรอบ 1 ปี แตะ 110.48 เยน/ดอลลาร์ในช่วงต้นตลาดเอเชียวันนี้ ขณะที่ยูโรทำอ่อนค่ามากสุดรอบ 5 เดือนบริเวณ 1.1711 ดอลลาร์/ยูโร

 

·         อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ 10 ปี ปรับขึ้นแตะ 1.77% ในช่วงต้นตลาด ทำสูงสุดรอบ 14 เดือน





·         ไบเดนจะเผยแผน “แพ็คเกจโครงสร้างพื้นฐาน” อันเป็นส่วนหนึ่งของแนวทางกระตุ้นเศรษฐกิจขนานใหญ่

 

นายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะทำการเปิดเผยรายละเอียดแผนโครงสร้างพื้นฐานสหรัฐฯฉบับยกเครื่อง รวมถึงเรื่องการผลิต ซึ่งเป็นแนวทางการทำงานที่สองของเขาภายในระยะเวลาไม่น้อยกว่า 3 เดือนในการเข้ารับตำแหน่ง

 

 

·         แหล่งข่าวเผย แผนการทำงานและโครงสร้างพื้นฐานของ “ไบเดน” จะเป็นโครงการระยะยาว 8 ปี  และคาดว่าจะมีค่าใช้จ่ายทั้งหมดเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 2 ล้านล้านเหรียญสำหรับแผนโครงสร้างพื้นฐาน ที่จะรวมถึงงบประมาณการสร้าง-ปรับปรุงถนนและสะพาน เป็นระยะเวลาราว 8 ปี

 

นอกจากนี้ ยังมีรายงานระบุว่า นายไบเดนน่าจะมีการยกเลิกการระงับการทำงานของต่างชาติเป็นการชั่วคราวที่นายทรัมป์ลงนามไว้

 

 

·         สมาชิกเฟดส่วนใหญ่มีมุมมองเกี่ยวกับเศรษฐกิจสหรัฐฯฟื้นตัว

- ประธานเฟดสาขาริชมอนด์ เปรียบเทียบเศรษฐกิจในช่วงนี้กับช่วงการระบาดของไวรัส พบว่าเกิดการฟื้นตัวได้ครั้งใหญ่

- ประธานเฟดสาขาแอตแลนต้า จับตา “ความเสี่ยงขาขึ้น” ของเศรษฐกิจ ที่คาดว่าอาจเกิดขึ้นเพียงชั่วคราว

- ประธานเฟดสาขานิวยอร์ก ระบุว่า ภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯค่อนข้างเคลื่อนไหวในทิศทางเชิงบวก

 

บรรดาเทรดเดอร์จับตาแนวทางการดำเนินนโยบายดอกเบี้ยของเฟด ที่ส่วนใหญ่คาดอาจเห็นเฟดเริ่มต้นปรับขึ้นดอกเบี้ยได้ในปีหน้

 

·         โธมัส บาร์กิน” ประธานเฟดสาขาริชมอนด์ ค่อนข้างพอใจกับทิศทางเศรษฐกิจเชิงบวก “อย่างมาก” ในปีนี้ และคาดว่าการประหยัดของภาคครัวเรือนตั้งแต่ช่วง Covid-19 จะเป็นปัจจัยหนุนตลาดได้เป็นอย่างดีในช่วงปี 2022 และปี 2023


 

·         สหรัฐฯและศูนย์กลางอาเซียน เห็นพ้องกันในเรื่องการให้ความสำคัญกับเรื่องการค้าดิจิทั

 

·         สถานการณ์ไวรัสโคโรนา พบ 81 ประเทศทั่วโลกยังมีรายงานยอดติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้น



ยอดติดเชื้อสะสมทั่วโลกล่าสุด 128.77 ล้านราย โดยพบยอดติดเชื้อรายวันเพิ่มขึ้น 529,525 ราย  ขณะที่ยอดเสียชีวิตทั่วโลกเพิ่มมา 10,652 ราย รวมสะสมที่ 2.81 ล้านราย

สหรัฐฯล่าสุดยอดติดเชื้อสะสม 31.09  ล้านราย โดยพบยอดติดเชื้อรายวัน 61,784 ราย ขณะที่ยอดเสียชีวิตสะสมในประเทศเพิ่มขึ้นทะลุ 564,133 ราย

 

สถานการณ์การระบาดในไทย

ศบค. รายงาน พบผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 48 ราย ผู้ป่วยยืนยันสะสม 28,821 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมผู้เสียชีวิตสะสม 94 ราย



 

·         สถานการณ์การฉีดวัคซีน Covid-19 ทั่วโลก พบ 144 ประเทศเดินหน้าโครงการฉีดวัคซีน โดยรวมแล้วฉีดวัคซีนไม่น้อยกว่า 564.45 ล้านโดส



 

·         ผลการศึกษาของสหรัฐฯพบว่า T Cells มีประสิทธิภาพในการต่อสู้กับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ได้




 

·         สหรัฐฯเข้าร่วม 13 ประเทศอื่นๆวิจารณ์ WHO ที่ขาดความโปร่งใสในรายงาน Covid ของจีน

ทั้งนี้ การเข้าร่วมแถลงการณ์ดังกล่าว ประกอบไปด้วยรัฐบาลของประเทศออสเตรเลียแคนาดาสาธารณรัฐเช็คเดนมาร์กเอสโธเนียอิสราเอลญี่ปุ่นลัตเวียลิทัวเนียนอร์เวย์เกาหลีใต้สโลเวเนียสหราชอาณาจักร และล่าสุดสหรัฐอเมริกา โดยในรายงานตำหนิการทำงานของ WHO ดังนี้

ความล่าช้าในกระบวนการปฏิบัติงาน

การปราศจากการเข้าถึงข้อมูลโดยสมบูรณ์

ข้อมูลต้นกำเนิดไวรัส

ตัวอย่างประกอบต่างๆ


·         เยอรมนีตัดสินใจกลับมาใช้วัคซีน AstraZeneca แก่ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป

 

·         สเปนถอนคำสั่งจำกัดการใช้วัคซีน AstraZeneca พร้อมให้กลุ่มสูงอายุ 66 ปีขึ้นไปใช้วัคซีน J&J แทน

  

·         เวเนซูเอลาได้รับวัคซีน EpiVacCorona จากรัสเซียแล้วหลังทราบผลทดสอบวัคซีน

 

·         บราซิลเพิ่มงบค่าใช้จ่ายสู้ Covid-19 กว่า 1 พันล้านล้านเหรียญ ท่ามกลางอัตราการเสียชีวิตรายวันในประเทศที่พุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์

 

·         ข้อมูลผลผลิตญี่ปุ่นร่วงลงในเดือนก.พ. สู่ระดับ -2.1กังวลสัญญาณการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจาก Covid-19

 

·         ซาอุดิอาระเบียประกาศเพิ่มการลงทุนในเอกชนกว่า 1.3 ล้านล้านเหรียญ หนุนหุ้นบริษัท Aramco และ SABIC

 

·         สหรัฐฯยอมเปิดกว้างเจรจาข้อตกลงนิวเคลียอิหร่านเพื่อนำไปสู่ ‘Road Map’ หากอิหร่านต้องการ

 

·         “บลินเคน” รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ เรียกร้องให้ “บริษัทต่างๆทั่วโลก” พิจารณายกเลิกการสนับสนุนทางการเงินแก่กองทัพพม่า จากการสลายกลุ่มผู้ชุมนุมอย่างโหดเหี้ยม

 

·         นักบริหารเงิน ระบุว่า เงินบาทเปิดเช้าวันนี้ที่ 31.31 บาท/ดอลลาร์ อ่อนค่าจากช่วงปิดสิ้นวันทำการก่อนที่ 31.25 บาทต่อดอลลาร์ ประเมินกรอบเงินบาทระหว่างวัน 31.20-31.40 บาท/ดอลลาร์

 

ด้านเงินบาท ช่วงนี้ยังคงทยอยอ่อนค่าทุกวันตามแนวโน้มของเงินดอลลาร์ การซื้อดอลลาร์ (ขายเงินบาท) มีทั้งจากสถาบันการเงินในประเทศและผู้นำเข้า ขณะที่แรงขายเงินดอลลาร์จากผู้ส่งออกชะลอตัวลงเนื่องจากเกิดปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบตั้งต้นและเรือขนส่งสินค้า เงินบาทจึงอ่อนค่าลงต่อเนื่อง ในระยะถัดไป มองว่าทิศทางของบอนด์ยีลด์สหรัฐและตลาดหุ้นเอเชียเป็นสองประเด็นที่ต้องจับตา เพราะจะส่งผลลบสลับบวกกับเงินบาท คาดว่าเงินบาทจะหยุดอ่อนค่าก็ต่อเมื่อตลาดกลับมาเชื่อมั่นในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจฝั่งเอเชีย และมีเงินทุนไหลเข้าอย่างชัดเจน

 

·         อ้างอิิงจากกรุงเทพธุุรกิจ

-ครม.หารือฐานะการคลัง ถกขึ้นแวต แนะอย่าเอาไปจุดประเด็นการเมือง สั่ง คลัง” ศึกษารายละเอียด นายกฯ ห่วงภาวะเสี่ยงทางการคลัง หลังโควิดฉุดการจัดเก็บรายได้รัฐบาล เข้มเบิกจ่ายงบเท่าที่จำเป็น เร่งปฏิรูปโครงสร้างภาษี

-กรมพัฒนาธุรกิจการค้า รายงานการจดทะเบียนธุรกิจเดือน ก.พ.2564 แสดงให้เห็นความมั่นใจของผู้ประกอบการในการทำธุรกิจมากขึ้น หลังเริ่มฉีดวัคซีนโควิด-19 รวมถึงมาตรการช่วยเหลือเอสเอ็มอีเพิ่มเติม และแผนการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว

 

·         อ้างอิงจากอินโฟเควสท์

-น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้เห็นชอบร่างถ้อยแถลงร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรีกรอบความริเริ่มแห่งอ่าวเบงกอล สำหรับความร่วมมือหลากหลายสาขาทางวิชาการและเศรษฐกิจ (Bay of Bengal Initiative Multi-Sectoral technical and Economic Cooperation : BIMSTEC) ซึ่ง BIMSTEC ประกอบด้วยสมาชิก 7 ประเทศ ได้แก่ บังกลาเทศ ภูฏาณ อินเดีย เมียนมา เนปาล ศรีลังกา และไทย

โดยจะมีการประชุมผ่านระบบการประชุมทางไกลในวันที่ 1 เมษายน 2564 มีประเทศศรีลังกาเป็นเจ้าภาพและประธาน และประเทศไทย จะรับหน้าที่เป็นประธานต่อจากนั้

-นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติร่างแผนพัฒนารัฐบาลดิจิทัลของประเทศไทย พ.ศ. 2563-2565 ภายใต้วิสัยทัศน์ รัฐบาลดิจิทัล เปิดเผย เชื่อมโยง และร่วมกันสร้างบริการที่มีคุณค่าให้ประชาชน” โดยให้ความสำคัญ 6 ประเด็น ได้แก่

1.การศึกษา

2.สุขภาพและการแพทย์

3.การเกษตร

4.ความเหลื่อมล้ำทางสิทธิสวัสดิการประชาชน

5.การมีส่วนร่วม โปร่งใส และตรวจสอบได้ของประชาชน

6.การส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME)

โดยมีเป้าหมายสำคัญ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการและสวัสดิการของประชาชน เพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของไทย การทำงานของภาครัฐมีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ รวมทั้ง ประชาชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาและกำหนดนโยบายสำคัญของประเทศ

บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com