MTS Help Center

· ดัชนีฟิวเจอร์สหุ้นสหรัฐฯส่วนใหญ่ปรับตัวขึ้นปานกลางในช่วงต้นตลาดวันนี้ เมินการปิดแดนลบของตลาดหุ้นหลักสหรัฐฯเผชิญแรงเทขายทำกำไร

ดัชนี Dow Jones ฟิวเจอร์ส +85 จุด หรือคิดเป็น +0.26%

ดัชนี S&P 500 ฟิวเจอร์ส +0.24% และดัชนี Nasdaq +0.47%

ทั้งนี้ การเคลื่อนไหวดังกล่าว เกิดขึ้นหลังจากที่ตลาดหุ้นปรับตัวลงเมื่องานนี้ ท่ามกลางหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีได้รับผลกระทบอย่างหนัก โดยเฉพาะดัชนี Nasdaq Composite ลดลง 3% โดย Apple และ Amazon ลดลงมากขึ้นเล็กน้อย ดัชนี Dow Jones และดัชนี S&P 500 ร่วงลง 0.5% และ 1.5% ตามลำดับ

· ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลดลง หลังจากที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลทั่วโลกพุ่งแรงกดดันหุ้นเทคโนโลยีที่มีราคาสูง ขณะที่ราคาน้ำมันดิบปรับร่วงลง 7% เมื่อคืนนี้ โดยสัญญาน้ำมันดิบ Brent ฟื้นตัว 11 เซนต์ ที่ระดับ 63.39 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่สัญญาน้ำมันดิบ WTI เพิ่มขึ้น 6 เซนต์ ที่ระดับ 60.06 เหรียญ/บาร์เรล

หลังจากเพิ่มขึ้นติดต่อกัน 4 สัปดาห์ ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับอุปสงค์ของโลก

ทั้งนี้ ดัชนี MSCI ที่ไม่รวมตลาดหุ้นญี่ปุ่นปรับร่วงลง 1.5%

· ดัชนี Nikkei ปรับตัวลง ขณะที่ดัชนี Topix แตะระดับสูงสุดในรอบ 30 ปี เนื่องจากบีโอเจ กล่าวว่า อาจเดินหน้าซื้อสินทรัพย์ผ่านกองทุนอัตราแลกเปลี่ยนที่มีผลต่อดัชนี TOPIX เพียงอย่างเดียว

โดยดัชนี Nikkei ปิด -1.41% ที่ระดับ 29,792.05 จุด ขณะที่ดัชนี Topix +0.18% ที่ระดับ 2,012.21 จุด ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 1991 ที่ผ่านมา

ทั้งนี้ การปรับตัวลงของดัชนี Nikkei เกิดขึ้นหลังจากบีโอเจกล่าวว่า จะซื้อสินทรัพย์ผ่านกองทุนอัตราแลกเปลี่ยนที่มีผลต่อดัชนี TOPIX เท่านั้น นอกจากนี้ยังกล่าวว่าจะซื้อมากที่สุดถึง 12 ล้านล้านเยนและขยายวงการซื้อขายเล็กน้อยสำหรับเป้าหมายผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีตามที่คาดการณ์ไว้

· ตลาดหุ้นจีนปิดปรับตัวลดลง ภาพรวมรายสัปดาห์ร่วงลง 1.4% หลังเริ่มต้นการเจรจาของเจ้าหน้าที่ระดับสูงระหว่างสหรัฐฯ-จีน กดดันความเชื่อมั่นของเหล่านักลงทุน

โดยดัชนี Shanghai Composite ปิด -1.69% ที่ระดับ 3,404.66 จุด ขระที่ดัชนี blue-chip CSI30 ปิด -2.62%

นักวิเคราะห์จาก China Fortune Securities Co. ระบุว่า ความกังวลเกี่ยวกับความตึ่งเครียดระหว่างสหรัฐฯกับจีนกดดันความต้องการสินทรัพย์เสี่ยง ท่ามกลางความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการประเมินมูลค่าหุ้นที่สูงยังคงมีอยู่

· ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวลดลง หลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับตัวสูงขึ้น จุดประกายความกังวลเกี่ยวกับการประเมินมูลค่าหุ้นและกระตุ้นแรงเทขายในตลาดหุ้นสหรัฐฯ

ทั้งนี้ ดัชนี Stoxx600 ลดลง 0.6% ด้านหุ้นกลุ่มน้ำมันและก๊าซร่วงลง 1.8% ด้านหุ้นสาธารณูปโภคเคลื่อนไหวในแดนลบ

· อ้างอิงจากสำนักข่าวอินโฟเควสท์

- ปิดเช้าลบ 8.42 จุด ลดลงตามตลาดภูมิภาครับปัจจัยลบ Bond Yield ดีดขึ้น

ตลาดหลักทรัพย์ฯปิดช่วงเช้าวันนี้ที่ระดับ 1,560.40 จุด ลดลง 8.42 จุด (-0.54%) มูลค่าการซื้อขายราว 39,096.23 ล้านบาท

การซื้อขายหุ้นช่วงเช้าวันนี้ ดัชนีหุ้นไทยเคลื่อนไหวในแดนลบตลอดช่วงเช้า โดยทำระดับสูงสุด 1,566.67 จุด และระดับต่ำสุด 1,558.91 จุด

- อธิการบดีและประธานที่ปรึกษามหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า สงกรานต์ปีนี้รัฐบาลงดจัดกิจกรรมสาดน้ำ รวมถึงกิจกรรมต่างๆ ที่มีการรวมตัวกัน อีกทั้งยังมีการระบาดรอบใหม่ที่บางแคอีก ทำให้คนไม่มีอารมณ์เดินทางจึงน่าจะทำให้บรรยากาศสงกรานต์ไม่คึกคัก มูลค่าใช้จ่ายน่าจะหายไป 10-20% หรือเกือบ 30,000 ล้านบาท และทำให้เศรษฐกิจไทยลดลง 0.1-0.2% จากเดิมที่ช่วงสงกรานต์แต่ละปีมีเงินสะพัดประมาณ 140,000 ล้านบาท

· อ้างอิงจากสำนักข่าวประชาติธุรกิจ

- มติ ศบค. ห้ามสาดน้ำสงกรานต์ ต่ออายุ พรก.ฉุกเฉิน ลดวันกักตัวจาก 14 วัน

เวลา 11.00 น.หลังการประชุม นายสาธิต ปิตุเตชะ รมช.สาธารณสุข กล่าวว่า ที่ประชุมมีมติขยายเวลา ต่ออายุ พรก.ฉุกเฉิน ออกไปจนถึงเดือนพฤษภาคม ส่วนเทศกาลสงกรานต์จัดตามประเพณีทางศาสนาได้ แต่ห้ามสาดน้ำ ปาร์ตี้โฟม และจัดคอนเสิร์ต นอกจากนี้ยังมีมติลดเวลาการกักตัวเหลือ 10 วันจาก 14 วัน

ต่อมา นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) หรือ ศบค. แถลงผลการประชุม ศบค.ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ เป็นประธาน ว่า จะมีการขยาย พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ครั้งที่ 11 สิ้นสุด 31 พฤษภาคม 2564