• เฟดอาจพิจารณาถึงตลาด “พันธบัตร” และอาจขับเคลื่อน “หุ้นกลุ่มเน้นการเติบโต” สัปดาห์นี้

    15 มีนาคม 2564 | SET News
 

พันธบัตรอาจเผชิญกับภาวะผันผวนได้ในสัปดาห์นี้ หากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรยิ่งปรับตัวขึ้นที่อาจสร้างความยากลำบากครั้งใหญ่ให้แก่หุ้นกุล่มเทคโนโลยีและหุ้นกลุ่มการเติบโตอื่นๆ (Growth Stocks) ทีอาจมีแรงกดดันเพิ่มมาขึ้น

การเพิ่มขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตร “กำลังสร้างความท้าทาย” ให้กับหุ้นกลุ่ม Growth Stocks อาทิ บริษัท Apple, Tesla, และ Amazon ที่จะเห็นได้ถึงการปรับตัวลดลงมา และนักลงทุนหันเข้าถือครอง “หุ้นกลุ่มวัฎจักร” แทน เนื่องจากเป็นหุ้นที่เคลื่อนไหวได้ดี ตอบรับกับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ แม้ว่าดัชนี S&P500 และ Dow Jones จะเป็น 2 ดัชนีหลักที่ยังปิดทำสูงสุดประวัติการณ์ได้ในคืนวันศุกร์ แต่จะเห็นได้ชัดเจนว่า “ดัชนี Nasdaq” มีการปิดปรับตัวลดลง

ดัชนี Nasdaq เป็นดัชนีหลักของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีรายใหญ่ และจะเห็นได้ว่าสัปดาห์ที่แล้วปิด +3% แต่ภาพรวมเดือนมี.ค. ปรับลดลงมาแล้ว -5.5%


ตลาดพันธบัตรในสัปดาห์นี้มีแนวโน้มที่จะตอบรับกับสัญญาณของ “เฟด” ที่มีกำหนดการประชุมระหว่างวันอังคารและวันพุธนี้

ทั้งนี้ “เฟด” ถูกคาดการณ์ว่าจะให้สัญญาณเชิงบวกเกี่ยวกับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจมากขึ้น และยังคงจับตาการเคลื่อนไหวของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรร่วมด้วย ที่จะเป็นตัวบ่งชี้ว่าเฟดจะดำเนินการเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างไร ซึ่ง ณ ขณะนี้ ก็ไม่ได้มีองค์ประกอบใดที่จะระบุว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยจนกว่าจะถึงปี 2023


ก่อนการประชุมเฟด

หัวหน้านักกลยุทธ์ประจำสถาบัน PGIM Fixed Income กล่าวว่า
- ตลาดค่อนข้างเคลื่อนไหวแรงตามกระแสคาดการณ์ถึงสิ่งที่ เฟดจะดำเนินการ หรือ เฟดจะสื่อออกมา

- ถ้อยแถลงของเฟดน่าจะเป็นไปอย่างสอดคล้องกัน
- นายเจอโรม โพเวลล์ ประธานเฟด มีแนวโน้มจะยังกล่าวถ้อยแถลงในเชิงผ่อนคลาย (Dovish)
- ไม่คิดว่าประธานเฟดจะให้ “กรอบเวลา” ว่าเฟดจะเปลี่ยนแปลงแนวทางการดำเนินนโยบายเข้าซื้อพันธบัตร หรือนโยบายอื่นๆ
- เศรษฐกิจอาจฟื้นตัวได้แข็งแกร่งเหนือความคาดหมายในปีนี้ จากค่าใช้จ่ายรัฐที่สูงขึ้นฅ การกลับมาเปิดทำการ (Reopening) และโครงการฉีดวัคซีน
- แนวโน้มเศรษฐกิจปีหน้ามีแนวโน้มจะถูกปรับตัวทวนได้สูงขึ้นจากตัวเลขทั้งหมด และจะยิ่งตอกย้ำถึงการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจได้อย่างมีเสถียรภาพ และปัจจัยนี้จะเป็นตัวกดดันการปรับขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตร


อัตราผลตอบแทนพันธบัตรมักมีการเคลื่อนไหวตรงกันข้ามกับราคาซื้อขาย และการปรับขึ้นในเวลานี้เป็นการตอบรับกับ “แนวโน้มการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ”

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปีในคืนวันศุกร์ปรับขึ้นทำสูงสุดที่ 1.642% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบกว่า 1 ปี โดยส่วนหนึ่งเป็นผลจากการตอบรับกับถ้อยแถลงของนายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่กล่าวถึงการจะฉีดวัคซีนให้แก่ผู้สูงอายุได้ครบภายใน 1 พ.ค.นี้


นอกจากนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรเป็นสิ่งที่ต้องจับตามากขึ้น เมื่อส่งผลกระทบไปยังตราสารหนี้การจดจำนอง, กลุ่มผู้บริโภค และการกู้ยืมของภาคธุรกิจต่างๆ

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯปรับตัวขึ้นต่อเนื่องตลอดเดือนก.พ. ที่ผ่านมา โดยสามารถขึ้นไปเหนือ 1.16% ได้เมื่อ 12 ก.พ.


หุ้นกลุ่มการเติบโต “Growth Stocks” vs. หุ้นกลุ่มวัฎจักร “Cyclicals”


เดือนก.พ. ที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่า
หุ้นกลุ่มพลังงานปรับขึ้นได้เกือบ 20%
หุ้นกลุ่มการเงินปรับขึ้นได้กว่า 10.2%
หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมปรับขึ้นได้ 7%
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีใน S&P500 ปรับลงไป 5.4% เดือนก.พ. แต่หุ้นกลุ่มบริการสื่อสาร ที่รวมถึงบริการอินเทอร์เน็ตปรับขึ้น 0.8%


การปรับขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตร “สร้างความท้าทาย” ให้แก่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและหุ้นกลุ่มการเติบโตอื่นๆ เนื่องจากเป็นสาเหตุที่ทำให้ “มูลค่าหุ้นแพง” และค่า Ratio ราคา-ผลประกอบการปรับตัวสูงขึ้น


ความผันผวนของตลาดพันธบัตร

สำหรับข้อมูลที่มีความสำคัญอย่างมากที่จะเกิดขึ้นในสัปดาห์นี้ จะประกอบไปด้วย
- ยอดค้าปลีกเดือนก.พ.
- ข้อมูลผลผลิตภาคอุตสาหกรรม


** ทั้งสองตัวจะประกาศในวันอังคารที่ 16 มี.ค. นี้ **

รวมไปถึงการประมูลพันธบัตรอายุ 20 ปี มูลค่ากว่า 2.4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ ในวันอังคารนี้เช่นกัน


และการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ของ “ตลาดพันธบัตร” จะมีผลต่อ “เฟด”

ภาพรวมตลาดคาดว่าการเคลื่อนไหวของตลาดพันธบัตรจะไม่ส่งผลให้เฟดตัดสินใจหารือกันหลังจากจบประชุมรอบนี้ในคืนวันพุธ แต่หนึ่งสิ่งที่เป็นตัวชี้วัดต่อการเคลื่อนไหวดังกล่าว น่ะจมาจาก “การปรับตัวขึ้นของเศรษฐกิจสหรัฐฯ” ในช่วงการระบาด และเฟดมีการถือครองพันธบัตรรัฐบาลโดยปราศจากการนับรวมเข้าสู่ค่าเฉลี่ย Leverage Ratio ของเฟด


กลยุทธ์ดังกล่าว มีขึ้นเพื่อ อนุญาตให้สถาบันการเงิน “มีความยืดหยุ่น” มากขึ้นในการใช้ยอดงบดุลบัญชีเพื่อเสริมกิจกรรมทางด้านเงินกู้ และโปรแกรมดังกล่าวจะหมดอายุในวันที่ 31 มี.ค.

นักวิเคราะห์ ระบุว่า ตลาดให้ความสนใจไปยัง “สิ่งที่อาจจะเกิดขึ้น” และผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ก็เชื่อว่า เฟดน่าจะขยายเวลาการปรับขึ้นให้เป็นไปอย่างเหมาะสม

และสิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ ตลาดพันธบัตรจะยังคงเคลื่อนไหวอย่างผันผวน หรืออาจเห็นความผันผวนเพิ่มมากขึ้น จากแรงกดดันการเติบโตทางเศรษฐกิจจากการใช้เม็ดเงินจำนวนมากของรัฐบาลสหรัฐฯ และการใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงินของเฟด


ปัจจัยสำคัญของสหรัฐฯที่ต้องติดตาม

วันจันทร์

20.30น. Empire State manufacturing


วันอังคาร

รายงานผลประกอบการบริษัทต่างๆ:
Volkswagen, Designer Brands, Jabil, Lennar, Coupa Software, CrowdStrike


เฟดประชุม 2 วันทำการ เริ่ม 16-17 มี.ค.นี้

04:00น. Treasury International Capital data

20.30น. ยอดค้าปลีก (Retail Sales)

20.30น. Import prices

20.30น. Business leaders survey

21.15น. Industrial production

22.00น. Business inventories

22.00น. National Association of Home Builders survey


Wednesday

รายงานผลประกอบการบริษัทต่างๆ:
Cintas, Lands’ End, Five Below, Herman Miller, American Outdoor Brands

20.30น. Housing starts

02.00น. Fed statement

02.30น. Fed Chairman Jerome Powell briefing


Thursday

รายงานผลประกอบการบริษัทต่างๆ:
FedEx, Dollar General, Nike, Petco, Accenture, Commercial Metals, Signet Jewelers

20.30น. Initial claims

22:00น. Philadelphia Fed survey


ที่มา: CNBC


บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com