• หนึ่งในมาตรการคนว่างงาน ชี้ว่า แผนกระตุ้นเศรษฐกิจ1.9 ล้านล้านเหรียญของนายไบเดนอาจ “ส่งผลเสียเพิ่ม” มากกว่า “สร้างผลดี”

    25 มกราคม 2564 | Economic News
    

นายเจมส์ พอลเซน หัวหน้านักกลยุทธ์ฝ่ายการลงทุนจาก The Leuthold Group กล่าวว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯกำลังจะได้รับมาตรการทางการเงินฉบับใหม่มาสนับสนุนหลังผ่านการเจรจาเป็นเวลาหลายเดือน ซึ่งหนึ่งในมาตรการสำคัญคือ “ตลาดแรงงาน” ที่บ่ง มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอาจไม่จำเป็นและกลายมาสร้างผลเสียต่ออนาคตการเติบโตทางเศรษฐกิจได้

ในเวลานี้สหรัฐฯได้รับเงินเยียวยาจากแพ็คเกจกระตุ้นเศรษฐกิจแล้วในวงเงิน 9 แสนล้านเหรียญที่ลงนามโดย นายโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯเมื่อวันที่ 27 ธ.ค. ที่ผ่านมา

ขณะที่ล่าสุด นายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯคนใหม่มีการเปิดเผยแผนกระตุ้นเศรษฐกิจในวงเงิน 1.9 ล้านล้านเหรียญที่มุ่งเน้นให้เกิดการสนับสนุนทางเศรษฐกิจตลอดปี 2021 ท่ามกลางสมาชิกวุฒิสภาพรรคเดโมแครตที่ดูจะเห็นด้วยไม่มากนัก จึงสร้างความไม่แน่นอนในการผลักดันให้ร่างดังกล่าวกลายมาเป็นกฎหมาย

แพ็คเกจดังกล่าวถูกเรียกจากนักเศรษฐศาสตร์และกลุ่มนักลงทุนว่า เป็นการสนับสนุนทางการเงินเพิ่มเติมที่อาจมีผลสะท้อนต่ออัตราการว่างงานที่มาตรวัดโดยส่วนใหญ่เป็นเกณฑ์ U-3 Rate (ผู้ที่กำลังหางานแต่ยังไม่ได้งาน) แต่รัฐบาลประเมินในกรอบ U-6 Rate ที่จะรวมไปถึงการจ้างพนักงานไม่ประจำ (Part Time) และรวมว่างงานโดยสมัครใจด้วย จึงเป็นตัวแตกต่างระหว่างสองอัตรานี้

The U-3 rate ณ ปัจจุบันอยู่ที่ 6.7%
The U-6 Rate ณ ปัจจุบันลดลงมาที่ 11.7% ในเดือนที่แล้ว

และจำนวน 1 ใน 5 ของภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจตั้งแต่ปี 1980 ประกอบด้วยการระบาดของไวรัสโคโรนาก็ดูจะเห็นอัตราว่างงานแบบ U-6 Rate อยู่เหนือระดับปัจจุบัน ซึ่งในเดือนเม.ย. ปี 2020 อัตราว่างงานแบบ U-6 Rate พุ่งขึ้นทำสูงสุดประวัติการณ์ที่ 22.9% ที่ดูจะเห็นการใช้มาตรการทางการเงินและการอัดฉีดเงินผ่านมาตรการ CARES Act 2.2 ล้านล้านเหรียญ ที่มาช่วยลดการว่างงานลงไปได้บ้าง


การฟื้นตัวที่จะเป็นไปอย่างรวดเร็วจะมาจากการใช้นโยบายรับมือกับสภาวะถดถอยที่แข็งแกร่ง ท่ามกลางอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯที่ปรับตัวลดลงเป็นประวัติศาสตร์ ควบคู่กับการใช้อัตราดอกเบี้ยระดับต่ำ การเรียกร้องมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมอาจจะเป็นเรื่องที่ดี แต่ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นครั้งประวัติศาสตร์ จากการใช้เงินสนับสนุนที่ไม่จำเป็นที่จะ “สร้างความเสี่ยงทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่” ต่อการเติบโตในปีนี้

ขณะที่การผลักดันการใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงินก็อาจจะยิ่ง “ทำให้เงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้น” และทำให้เงื่อนไขของรัฐบาลและเฟดมีความตึงตัวมากขึ้น ด้านรายได้ของชาวอเมริกาที่อยู่ในระดับต่ำก็อาจส่งผลให้การฟื้นตัวชะงักงันหรือเข้าสู่ภาวะขาลงได้


ที่มา: Business Insider


บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com