• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคค่ำ) ประจำวันที่ 11 มกราคม 2564

    11 มกราคม 2564 | Economic News
  

·         ดอลลาร์แข็งค่าต่อจากความหวังมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯที่อาจเกิดขึ้นได้เพียงเล็กน้อย

ดอลลาร์รีบาวน์ต่อจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่ปรับขึ้นในวันนี้  ท่ามกลางนักลงทุนที่ลดการถือครอง Short หลังจากที่ดอลลาร์ทำอ่อนค่ามากสุดในช่วงหลายสัปดาห์

นายโจ ไบเดน ที่จะเข้าพิธีสาบานตนรับตำแหน่งในวันที่ 20 ม.ค. ในขณะที่พรรคเดโมแครตสามารถครองคะแนนเสียงได้มากขึ้นทั้งสองสภาในสภาคองเกรส พร้อมคำมั่น จะสนับสนุนค่าใช้จ่ายกระตุ้นเศรษฐกิจ "ล้านล้านเหรียญ"


ดัชนีดอลลาร์ร่วงลงกว่า 12% นับตั้งแต่ที่ทำสูงสุดในเดือนมี.ค. ขณะนี้ปรับขึ้นมาได้ราว 1.3% นับตั้งแต่ที่ทำต่ำสุดรอบกว่า 3 ปีในสัปดาห์ที่แล้ว โดยภาพรวมปรับขึ้นได้ 0.1% ที่ระดับ 90.418 จุดในวันนี้

 

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีของสหรัฐฯพุ่งต่อมาที่ 1.1187% ในปีนี้  และทำให้เงินเยนอ่อนค่ามาทำต่ำสุดรอบ 1 เดือนที่ 104.20 เยน/ดอลลาร์

 

ค่าเงินยูโรอ่อนค่ามาที่ 1.2167 ดอลลาร์/ยูโรในตลาดเอเชีย หลังสัปดาห์ที่แล้วปรับแข็งค่ามากถึง 1.2349 ดอลลาร์/ยูโรในสัปดาห์ที่แล้ว

 

นักวิเคราะห์จาก National Australia Bank กล่าวว่า ดอลลาร์รีบาวน์ได้จากการที่จบเลือกตั้งรัฐจอร์เจียได้ และช่วยหนุนเสถียรภาพมากขึ้นที่จะเห็นการผลักดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมในตลาดเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจสหรัฐฯ

 

ค่าเงินหยวนอ่อนค่าลง 0.2% ที่ 6.4864 หยวน/ดอลลาร์ ด้านกาหลีใต้เทียบดอลลาร์อ่อนค่าลงทำต่ำสุดรอบ 2 สัปดาห์ที่ 1,099.58 วอน/ดอลลาร์

 

นักวิเคราะห์จาก Barclays ระบุว่า การที่ดอลลาร์อ่อนค่าและสร้างความท้าทายครั้งใหญ่ต่อตลาดเกิดใหม่ต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี แต่การเคลื่อนไหวล่าสุดอาจส่งผลให้บรรดาเทรดเดอร์บางส่วนต้องตระหนักเพิ่มเติม

 

ข้อมูลภาคโรงงานอุตสหากรรมจีนร่วงลงเร็วสุดตั้งแต่ก.พ. ในเดือนที่ผ่านมา แต่โดยรวมภาคการผลิตก็ยังฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่ง

 

ปัจจัยสำคัญของตลาด 

ข้อมูลการค้าจีน ช่วงปลายสัปดาห์

ข้อมูลค้าปลีกสหรัฐฯ (วันพฤหัสบดี)

ข้อมูลความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐฯ (วันพฤหัสบดี)

 

นอกจากนี้ ตลาดยังจับตาความตึงเครียดที่ขยายตัวมากขึ้นต่อโอกาสการลงโทษนายทรัมป์จากเหตุจลาจลสัปดาห์ที่แล้ว

 

·         เม็ดเงินกว่า 1.7 แสนล้านเหรียญไหลออกจากตลาด Cryptocurrency ภายใน 24 ชั่วโมง หลัง Bitcoin อ่อนตัว โดยมูลค่าเม็ดเงินในตลาด ณ ปัจจุบันอยู่ราว 9.5953 แสนล้านเหรียญ ลดลงจากวันก่อน 1.1 ล้านล้านเหรียญ

ขณะที่ Bitcoin ล่าสุดอ่อนตัวลงมากกว่า 11% ในช่วงต้นตลาดแตะระดับ 35,828.06 เหรียญ หรือภาพรวมปรับตัวลงแล้วกว่า 15% หรือ 1,126.72 เหรียญโดยประมาณ

 

·         Covid-19 วิกฤตหนักสหรัฐฯเสียชีวิตทุกๆวันเกือบ 3,000 ราย - CDC เตือนให้ระวังการระบาดเพิ่มจากเหตุจลาจลสัปดาห์ที่แล้ว

 

มหาวิทยาลัย John Hopkins รายงานการเสียชีวิตในสหรัฐฯล่าสุดสูงกว่า 3,400 ราย รวมค่าเฉลี่ยการเสียชีวิตรายวันตลอดช่วง 7 วันที่ผ่านมางทำสูงสุดเป็นประวัติการณ์กวา 247,200 ราย หรือเพิ่มขึ้น 27% จากสัปดาห์ก่อน

 

ดร. โรเบิร์ต เรดฟิลด์ ผู้อำนวยการจาก CDC กล่าวว่า การระบาดอาจเข้าสู่ช่วงที่ "เลวร้ายที่สุด" ก่อนจะดีขึ้นเรื่อยๆ 

 

ทั้งนี้ ดูเหมือนถ้อยแถลงดังกล่าวจะเป็นไปในทางเดียวกับ ดร.แอนโธนี ฟาวซี ผู้อำนวยการสถาบันโรคระบาดและโรคภูมิแพ้แห่งชาติ

 

อย่างไรก็ดี กรอบยอดเสียชีวิตในสหรัฐฯอาจพุ่งหนักถึง 2,500 - 5,000 ราย/วัน และสถานการณ์จะเลวร้ายลงต่อเนื่องตลอดเดือนม.ค. และอาจลามไปถึงเดือนก.พ. ก่อนที่จะกลับมาในทิศทางที่ดีขึ้

 

การระบาดมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แข่งกับการเร่งกระจายวัคซีน Covid-19 เพื่อช่วยเหลือประชาชน แต่แล้วการกระจายวัคซีนในเวลานี้ก็ยังล่าช้ากว่าที่คาด แต่สัญญาณการจะกระจายวัคซีนได้เพิ่มขึ้นก็มีมากขึ้นในเวลาเดียวกัน

 

ประเทศสหรัฐฯมีการฉีดวัคซีนให้ประชาชนได้เกือบ 800,000 โดสในระยะเวลา 24 ชั่วโมง เพิ่มสูงขึ้นจากตัวเลขเดิมที่ 600,000 โดส/วัน ทำให้มีประชาชนกว่า 22.1 ล้านคนที่ได้รับวัคซีนแล้ว แต่น้อยกว่าที่รัฐบาลหวังไว้ราว 6.7 ล้านคน


แต่ประเทศสหรัฐฯและโรงพยาบาลก็ยังเผชิญกับการต้องรับมือในการบริหารจัดการโดสวัคซีนที่มีการอนุมัติเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และยังรอการอัดฉีดเงินเพิ่มสู่ตลาดแรงงานรักษาเสถียรภาพด้านตัวเลขให้คงที่

 

·         หน่วยงานด้านสุขภาพแห่งชาติของประเทศจีน ระบุว่า พบผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนารายวันมากที่สุดในรอบกว่า 5 เดือน เนื่องจากผู้ติดเชื้อรายใหม่ในมณฑลเหอเป่ยรอบกรุงปักกิ่งยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

มณฑลเฮยหลงเจียงทางตะวันออกเฉียงเหนือ ได้เข้าสู่มาตรการ Lockdown หลังจากรายงานการติดเชื้อโคโรนาสายพันธุ์ใหม่

สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (NHC) กล่าวว่า มณฑลเหลียวหนิงรายงานผู้ป่วยรายใหม่ 2 รายและปักกิ่งรายงานผู้ติดเชื้อรายใหม่ 1 ราย นอกจากนี้ประเทศยังพบผู้ติดเชื้อที่มาจากต่างประเทศจำนวน 18 ราย

ทั้งนี้ จำนวนผู้ติดเชื้อจากไวรัสโคโรนารายใหม่รวมทั้งหมดอยู่ที่ 103 ราย ซึ่งระดับสูงที่สุดนับตั้งแต่มีรายงานจำนวนผู้ป่วย 127 รายเมื่อวันที่ 30 ก.ค.ที่ผ่านมา

 

·         จีนระบุว่า ผู้เชี่ยวชาญจาก WHO จะเดินทางถึงจีนในวันพฤหัสบดีนี้ เพื่อตรวจสอบต้นกำหนดการระบาดของไวรัสโคโรนา

 

·         โควิดวันนี้! ไทยพบผู้ติดเชื้อ 'โควิด-19' เพิ่ม 249 ราย ติดเชื้อในประเทศ 224 ราย


ศบค. แถลง "ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 วันนี้" ไทยพบผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 249 ราย เป็นติดเชื้อภายในประเทศ 224 คน ยอดผู้ป่วยสะสม 10,547 ราย ไม่พบผู้เสียชีวิตเพิ่ม

เมื่อวันที่ 11 ม.ค. 64 นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (ศบค.) แถลงสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ประจำวัน ว่า ประเทศไทยพบจำนวน ผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 249 ราย เป็นผู้ติดเชื้อภายในประเทศ 224 ราย และติดเชื้อจากต่างประเทศ 25 ราย รวมยอดผู้ป่วยสะสม 10,547 ราย ไม่พบผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมยอดผู้เสียชีวิต 67 คน ผู้ป่วยที่รักษาหายแล้ว 6,566 ราย และผู้ป่วยที่รักษาอยู่ 3,914 ราย

 

·         เจ้าหน้าที่สาธารณสุขในรัฐตาเมาลีปัส กล่าวว่า เม็กซิโกพบนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติในรัฐตาเมาลีปัส ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ โดยผู้ป่วยวัย 56 ปีคนดังกล่าวตรวจพบเชื้อหลังเดินทางมาจากกรุงเม็กซิโกซิตี้ เมื่อวันที่ 29 ธ.ค.ที่ผ่านมา

ทั้งนี้ ชายคนนี้ถูกระบุว่าเป็น "นักท่องเที่ยวต่างชาติ" และไม่มีการเปิดเผยชื่อและสัญชาติของเขา

 

·         วัคซีนของ Pfizer - BioNTech ปรากฎผลสำคัญในการช่วยต้านไวรัสสายพันธ์ุใหม่ในอังกฤษฉละแอฟริกาใต้ได้ จากการศึกษาของผู้เชี่ยวชาญด้านเวชภัณฑ์รายใหญ่ของสหรัฐฯ

 

·         รัฐบาลอินเดีย ระบุว่า อินเดียจะเริ่มฉีดวัคซีนต้านไวรัสโคโรนาในวันที่ 16 ม.ค. ที่จะถึงนี้ ให้กับบุคลากรสาธารณสุขและเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานประมาณ 30 ล้านคนเป็นกลุ่มแรก ขณะที่กลุ่มต่อไปคือผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปีตามด้วยผู้ที่อายุต่ำกว่า 50 ปี แต่มีโรคร่วม โดยประชากรประมาณ 30 ล้านคนจะได้รับการฉีดวัคซีนในเฟสแรก

 

·         รัฐบาลฟิลิปปินส์ลงนามในข้อตกลงเพื่อสั่งซื้อวัคซีนจาก Covovax ซึ่งเป็นวัคซีนต้านไวรัสโคโรนา ของสถาบันเซรุ่มแห่งอินเดีย (SII) จำนวน 30 ล้านโดส

ข้อตกลงดังกล่าวลงนามเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา โดยนายการ์ลิโต กาลเวส อดีตนายทหารที่รับผิดชอบในด้านกลยุทธ์การต่อสู้กับไวรัสโคโรนาของฟิลิปปินส์

 

·         พรรคเดโมแครต เตรียมถอด ทรัมป์ ออกจากการตำแหน่ง หลังจากเหตุจราจลรุนแรงที่รัฐสภา

ทั้งนี้เมื่อวันจันทร์สมาชิกของพรรคเดโมแครต เรื่มผลักดันให้นายทรัมป์ ออกจากการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยจะดำเนินการทางกฎหมายภายในหนึ่งสัปดาห์ ซึ่งอาจจบลงด้วยการลงคะแนนที่จะทำให้นายทรัมป์เป็นประธานาธิบดีเพียงคนเดียวในประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯ ที่ถูกฟ้องร้องถึงสองครั้ง

 

·         นักวิเคราะห์ด้านความเสี่ยงจากบริษัทที่ที่ปรึกษา Control Risks  เผยว่า อาจเกิดภาวะ "Hard Sell" หากทีมบริหารไบเดน ต้องการเข้าร่วมข้อตกลง TPP

อย่างไรก็ดี ยุคการค้าเสรีที่จบไป และก็อาจจะเป็นยากที่ทีมบริหารนายไบเดนจะกลับเข้าข้อตกลงการค้า TPP ซึ่งเป็นข้อตกลงที่นายบารัค โอบามา อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ และ 11 ประเทศเคยเจรจาร่วมกันไว้โดยปราศจากจีน ซึ่งเรียกได้ว่าข้อตกลง TPP ถือเป็นข้อตกลงการค้าขนาดใหญ่ที่ครอบคลุมกว่า 40% ของเศรษฐกิจโลก

แต่ข้อตกลง TPP ก็ถือเป็นเรื่องที่ถูกวิจารณ์ของสหรัฐฯ ประกอบกับไม่เคยผ่านมติจากคองเกรสได้เลยตั้งแต่ปี 2017

ที่ปรึกษาจาก Control Risks แสดงความปรารถนาที่จะให้สหรัฐฯอยู่ภายใต้ข้อตกลงดังกล่าว จากแรงผลักดันของทีมไบเดน แต่ "สภาวะทางการเมือง" จากทั้ง ฝั่ง ก็อาจทำให้การค้าเสรีไม่น่าเป็นที่นิยมโดยแท้จริง

 

·         การเติบโตทางเศรษฐกิจอาจช่วยลดความเหลื่อมล้ำได้ แต่แค่ช่วยจำกัดไม่ให้มีคนยากจนดิ่งลึกเท่านั้น

การระบาดของไวรัสโคโรนาดูจะกระตุ้นให้เศรษฐกิจหดตัวลงอย่างหนัก และมีคนว่างงานเพิ่มมากขึ้น ยิ่งกดดันให้เกิดภาวะความไม่เท่าเทียมกันมากขึ้นทั่วทุกมุมโลก

World Bank ชี้ ภาวะยากจนทั่วโลกเพิ่มสูงขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 20 ปี จากการที่ประชาชนนับล้านรายมีค่าครองชีพน้อยกว่า 1.90 เหรียญ/วันมากกขึ้น

สถาบัน Peterson Institute for International Economics กล่าวว่า ภาวะขาลงทางเศรษฐกิจในสหรัฐฯมีแนวโน้มจะยิ่งก่อให้เกิดภาวะความเหลื่อมล้ำมากขึ้น และนี่จะนำไปสู่ภาวะถดถอยอย่างหนักในการสร้างความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน

โดยเฉพาะการที่จะหนุนให้อัตราการจ้างงานและค่าแรงกลับสู่ยุคก่อนเกิดวิกฤตไวรัสก็ดูจะเป็นเรื่องที่ยากมากขึ้น และภาพรวมการจ้างงานยังคงถดถอยกว่า 20%

 


หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จาก ANZ Bank ระบุว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจอาจไม่เพียงแต่ช่วยแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ แต่อาจช่วยเพิ่มโอกาสการจ้างงานได้มากขึ้นด้วย

ขณะที่ภาคบริษัทต่างๆมักจะได้รับอานิสงส์จากการที่เศรษฐกิจมีการเติบโตได้ โดยจะเห็นได้จากช่วง 20 ปีที่ผ่านมา แต่ค่าแรงปานกลางอาจไม่ได้กลับมาเพิ่มตามคาด แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่จะเห็นอัตราต่างๆปรับขึ้นขึ้นได้อย่างรวดเร็ว เพราะต้องไม่ลืมว่า "ความเหลื่อมล้ำ" อาจเป็นภัยร้ายแรงต่อความคืบหน้าในการเติบโตทางเศรษฐกิจ

 

·         JPMorgan และ Citigroup เข้าร่วมบริษัทต่างๆในสหรัฐฯในการห้ามบริจาคทางการเมือง หลังเกิดเหตุจลาจลในรัฐสภาฯสัปดาห์ที่แล้ว จากการที่กลุ่มผู้สนับสนุนนายทรัมป์ก่อความรุนแรง

โดยสถาบันการเงินรายใหญ่และบริษัทต่างๆ ชะลอการจ่ายเงินบริจาคให้แก่พรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครตเป็นเวลาอย่างน้อย "6 เดือน"

หัวหน้าฝ่ายจาก JPMorgan กล่าวว่า สหรัฐฯกำลังเผชิญกับวิกฤตครั้งใหญ่ ทั้งในเรื่องสุขภาพเศรษฐกิจและทางการเมือง ขณะที่ภาพรวมกลุ่มผู้นำธุรกิจและผู้นำทางการเมือง รวมทั้งผู้นำประชาชนในเวลานี้ดูจะเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อประเทศมากที่สุดเช่นกัน

 

·         Reuters Poll ชี้ สินค้าส่งออกจีน ส่อแววชะลอตัวเดือนธ.ค. - ยอดนำเข้ายังทรงตัว

ผลสำรวจจาก Reuters Poll รายงานว่า  สินค้าส่งออกของจีนมีแนวโน้มเติบโตอย่างแข็งแกร่งในเดือน ธ.ค. แต่มีแนวโน้มเติบโตได้ช้าลงเมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา อัเนื่องจากอุปสงค์จากประเทศคู่ค้าได้รับผลกระทบจากช่วงวิกฤต Covid-19

โดยสินค้าส่งออกมีแนวโน้มจะยังโตได้ 15% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า แต่ลดลงเมื่อเทียบกับ 21.1% ในเดือนพ.ย. ขณะที่ยอดนำเข้าปรับเพิ่มขึ้น 5% ในเดือนธ.ค. เมื่อเทียบกับปีที่แล้วผลสำรวจพบว่ายังคงอยู่ในระดับปานกลาง แต่สูงกว่า 4.5% ในเดือนก่อนหน้าเล็กน้อย

อย่างไรก็ดี ภาพรวมการส่งออกที่ลอยตัวช่วยผลักดันการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในภาคการผลิตของจีนจากวิกฤตไวรัส Covid-19 และการเติบโตของการนำเข้าน่าจะได้รับแรงหนุนจากอุปสงค์การก่อสร้างที่มากขึ้นและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ดี

 

·         ผู้เชี่ยวชาญ ชี้ จีนเคลื่อนไหวคุมบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการผลักดัน "มหาอำนาจด้านเทคโนโลยี" เหมือนในสหรัฐฯและยุโรป โดยจีนกำลังหาวิธีเพิ่มข้อกำหนดด้านเทคโนโลยีเต็มรูปแบบเพื่อปกป้องการต่อต้านการผูกขาด โดยที่บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ๆของจีนกำลังจะกลายเป็นอันดับหนึ่งของโลก

 

·         ข้อมูลดัชนีภาคการผลิตเดือนธ.ค. ของจีน ปรับลงทำต่ำสุดรอบกว่า 10 เดือน นับตั้งแต่ก.พ.

อย่างไรก็ดี ภาพรวมดัชนีการผลิตจีนก็ยังคงทรงตัวและมีการฟื้นตัวได้จาก Covid-19  โดยดัชนี PPI ปรับลง 0.4% จากปีที่แล้ว หลังจากที่ขยายตัวได้ 1.5% ในเดือนพ.ย. ซึ่งถือเป็นการชะลอตัวลงมากที่สุดจากค่าใช้จ่ายวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ภาพรวมสินค้าวัตถุดิบอ่อนตัวลง 1.6% เมื่อเทียบรายปี และลดลงกว่า 4.2% จากเดือนก่อนหน้า

ภาคอุตสาหกรรมจีนดูจะมีการรีบาวน์ต่อเนื่อง แต่การระบาดของเศรษฐกิจทั่วทุกมุมโลก และภาวะการระบาดของไวรัสโคโรนารอบใหม่ในหลายๆประเทศก็อาจเป็นปัจจัยลบต่อจีนได้

ดัชนี CPI ของจีนโตได้ 0.2% เมื่อเท่ียบรายปีในเดือนธ.ค. หลังจากที่อ่อนตัวลงไป 0.5% ในเดือนพ.ย. เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ต.ค. ปี 2009

ดัชนี COre CPI ปรับขึ้น 1.2% หลังจากที่ลดลงไป 2% ในเดือนก่อนหน้า

 

·         จีน ประณามสหรัฐฯ ขณะที่ไต้หวันยินดีที่จะยกเลิกความสัมพันธ์

จีนประณามสหรัฐฯ โดยจีนระบุว่าไม่มีใครสามารถขัดขวางการ "รวมชาติอีกครั้ง" ของจีนได้ ขณะที่รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศไต้หวันพร้อมปราศรัยหากสหรัฐฯ จะยกเลิกความสัมพันธ์

 อย่างไรก็ดี ไต้หวันเชื่อว่าความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯและไต้หวันยังคงแน่นแฟ้นภายใต้การบริหารของว่าที่ประธานาธิบดี นายโจ ไบเดน

 

·         จีนต่อต้านประเทศต่างๆ ที่แทรกแซงกิจการภายในจีน

จีนประณามและต่อต้านอย่างรุนแรงถึงประเทศที่แทรกแซงกิจการภายในจีน ได้แก่ สหรัฐฯแคนาดา อังกฤษ และออสเตรเลีย หลังจากที่ประเทศเหล่านี้ได้ประณามการจับกุมนักเคลื่อนไหวในฮ่องกง

 

·         สหรัฐฯ มองว่า ความเคลื่อนไหวของกลุ่มกบฏฮูตีใน เยเมน เป็นกลุ่มก่อการร้ายข้ามชาติ

นายไมค์ ปอมเปโอ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ ระบุว่า สหรัฐฯ มีแผนให้กลุ่ม ฮูตีในเยเมนเป็นกลุ่มก่อการร้ายข้ามชาติ

ทั้งนี้ส่งผลให้คณะทูตเกิดความกังวลว่ากลุ่มกบฏอาจจะคุกคามความสงบและการต่อสู้กับวิกฤตด้านมนุษยธรรมครั้งใหญ่ที่สุดในโลกกำลังจะยากขึ้น

จากรายงานของรอยเตอร์ การตัดสินใจขึ้นบัญชีดำอิหร่านของสหรัฐฯ เกิดขึ้นจากการบริหารภายใต้ว่าที่ประธานาธิบดี นายโจ ไบเดน ซึ่งเตรียมเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 20 ม.ค.

อย่างไรก็ตาม นายปอมเปโอกระทรวงการต่างประเทศจะแจ้งให้รัฐสภาทราบถึงจุดมุ่งหมายที่จะกำหนด อัลซา อัลเลาะห์ เป็นกลุ่มกบฏ หรือกลุ่มก่อการร้ายต่างประเทศ (FTO )

 

·         ราคาน้ำดิบร่วงลงจากความกังวลเกี่ยวกับไวรัสโคโรนาระลอกใหม่ที่เพิ่มขึ้นในจีน

ราคาน้ำมันดิบปรับลดลงในวันนี้ จากความกังวลด้านผลกระทบครั้งใหม่จากความต้องการเชื้อเพลิงทั่วโลกที่ลดลง ท่ามกลางการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาที่รุนแรงในยุโรปและการระบาดครั้งใหม่ที่เพิ่มขึ้นในจีนซึ่งเป็นผู้ใช้น้ำมันรายใหญ่เป็นอันดับสองของโลก

โดยน้ำมันดิบ Brent ปรับลดลง 65 เซนต์ หรือ 1.2% ที่ระดับ 55.34 เหรียญ/บาร์เรล หลังจากที่ขึ้นไปถึงที่ระดับ 56.39 เหรียญ/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับสูงสุดตั้งแต่ 25 ก.พ. 2020 น้ำมันดิบ Brent เพิ่มขึ้นสี่ส่วนจากก่อนหน้านี้

น้ำมันดิบ WTI ปรับลดลง 44 เซนต์ หรือ 0.8% อยู่ที่ระดับ 51.80 เหรียญ/บาร์เรล โดย  WTI เพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบเกือบหนึ่งปีในวันศุกร์ที่ผ่านมา


บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com