• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคค่ำ) ประจำวันที่ 7 มกราคม 2564

    7 มกราคม 2564 | Economic News
  

·         ดอลาร์ทรงตัวในทิศทางอ่อนค่า แม้ว่าเดโมแครตจะคว้าชัยชัดเจนหนุนกระตุ้นเศรษฐกิจขนานใหญ่

ดอลลาร์ทรงตัวใกล้ระดับอ่อนค่ามากสุดรอบเกือบ 3 ปี หลังจากที่เดโมแครตคว้าชัยชนะคุมเสียงในวุฒิสภาได้ และเป็นที่ชัดเจนถึงการปูทางไปสู่การกระตุ้นเศรษฐกิจขนานใหญ่ภายใต้การบริหารของนายโจ ไบเดน ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ

ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในสภาคองเกรสจากกลุ่มผู้สนับสนุนนายทรัมป์ไม่ได้กระทบตลาดค่าเงินมากนัก

กลุ่มนักวิเคราะห์มองว่าการมาของพรรคเดโมแครตในการเพิ่มเก้าอี้ในสภาคองเกรสจะเป็นผลบวกต่อเศรษฐกิจทั่วโลก โดยเฉพาะสินทรัพย์เสี่ยง แต่เป็นปัจจัยลบต่อพันธบัตรและดอลลาร์ รวมทั้งการเพิ่มขึ้นของยอดขาดดุลการค้าและงบประมาณสหรัฐฯ

ดัชนีดอลลาร์ทรงตัวที่ 89.321 จุดในตลาดเอเชียวันนี้ หลังจากวานนี้ทำอ่อนค่ามากสุดตั้งแต่ พ.ค. ปี 2018 บริเวณ 89.206 จุด

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯอายุ 10 ปี ปรับขึ้นแตะ 1.054% เมื่อวานนี้ เป็นการยืนเหนือ 1% ครั้งแรกนับตั้งแต่กลางเดือนมี.ค.

หัวหน้านักกลยุทธ์ค่าเงินจาก Mizuho Securities มองโอกาสดอลลาร์อ่อนค่าต่อจากการที่เดโมแครตครองเสียงข้างมากในวุฒิสภาได้

ยูโรแข็งค่าขึ้น 0.1% ที่ 1.23385 ดอลลาร์/ยูโร หลังจากทำแข็งค่ามากสุดตั้งแต่เม.ย. ปี 2018 บริเวณ 1.2349 ดอลลาร์/ยูโร

ค่าเงินเยนแข็งค่ามาที่ 102.965 เยน/ดอลลาร์ โดยวานน่ี้ทำแข็งค่ามากสุดเป็นครั้งแรกตั้งแต่มี.ค. ที่ปรับลงมาแตะ 102.595 เยน/ดอลลาร์

Bitcoin ทำ All-Time High ใหม่อย่างต่อเนื่องแตะ 37,386 เหรียญ โดยขยายตัวได้มากกว่า 800% ตั้งแต่ช่วงกลางเดือนมี.ค. และล่าสุดซื้อขายที่ 37,382 เหรียญ

 

·         ค่าเงิน Cryptocurrency มีมูลค่าซื้อขาย 1 ล้านล้านเหรียญเป็นครั้งแรก โดย Bitcoin ทำสูงสุดแตะ 37,700 เหรียญ

Bitcoin ทะลุสูงสุดใหม่ประวัติการณ์เหนือ 37,700 เหรียญที่ช่วยหนุนมูลค่าโดยรวมของตลาดให้พุ่งสูงขึ้นไปกว่า 1 ล้านล้านเหรียญเป็นครั้งแรก และทำสูงสุดไปที่ 37,739.08 เหรียญ และมีการปรับขึ้นได้กว่า 5% จากวันก่อน

โดยตั้งแต่เริ่มปี 2021 ปรับขึ้นกว่า 29% แต่ในช่วงปี 2020 ปรับขึ้นได้กว่า 380%

 

·         วุฒิสภาสหรัฐฯปัดตกการค้านชัยชนะนายไบเดนในรัฐแอริโซนา – ยืนยันคว้าชัยชนะเหนือทรัมป์ทั่วประเทศ

 

 

·         สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯปัดตกคำค้านผลเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯของรัฐเพนซิลเวเนีย


 

·     ·     Congress ยืนยันผลเลือกตั้ง "ไบเดน" ชนะเลือกตั้งในฐานะประธานาธิบดี หลังจากที่เกิดเหตุชุมนุมประท้วงสภาคองเกรส เพื่อขวางการพ่ายแพ้ของนายทรัมป์

ขณะที่สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาสหรัฐฯ ปฏิเสธคำค้านของพรรครีพับลิกันทั้งรัฐแอริโซนาและเพนซิลเวเนียเกี่ยวกับผลคะแนน

ไบเดนได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง 271 เสียง สะท้อนถึงการรับชัยชนะและครองทำเนียบขาว

ขณะเดียวกันนายทรัมป์ก็มีความพยายามกดดันนายไมค์ เพนซ์ รองประธานาธิบดีสหรัฐฯในการค้านผลการเลือกตั้ง และร่วมค้านการอนุมัติความเห็นชอบบางส่วนของเดโมแครต

แต่นายเพนซ์วานนี้ก็ปฏิเสธที่จะดำเนินการกระทำดังกล่าว และเขาเองก็ไม่ได้มีอำนาจหรือมีสิทธิออกเส่ียงเช่นเดียวกับประธานในการร่วมประชุมรัฐสภาครั้งนี้

 

·         เจ้าหน้าที่ตำรวจสหรัฐฯ เปิดเผยว่า ขณะนี้มีผู้เสียชีวิตแล้ว 4 รายหลังจากกลุ่มผู้สนับสนุนนายโดนัล ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ก่อเหตุอุกอาจด้วยการบุกเข้าไปในอาคารรัฐสภาของสหรัฐฯเพื่อขัดขวางการประกาศรับรองชัยชนะของนายโจ ไบเดนในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯคนล่าสุด

โดยโรเบิร์ต คอนตี ผู้บัญชาการตำรวจของกรุงวอชิงตัน ระบุว่า ผู้เสียชีวิตจากเหตุจลาจลครั้งนี้ เป็นผู้หญิง รายที่ถูกตำรวจยิงในอาคารรัฐสภา ส่วนอีก รายเสียชีวิตด้วยเหตุฉุกเฉินทางการแพทย์

 

·         รัฐแคลิฟอร์เนียสหรัฐฯเผชิญวิกฤตไวรัสโคโรนาย่ำแย่สุด และห้อง ICU ไม่เพียงพอสำหรับผู้ป่วย

ขณะที่ภาพรวมมีเพียง 1% ของประชากร 40 ล้านคนที่ได้รับการฉีดวัคซีนไปแล้ว ขณะที่สถานพยาบาลรองรับผู้ป่วยมากถึง 22,000 ราย ประกอบด้วยผู้ป่วยห้องไอซียู 4,700 ราย

อย่างไรก็ดี รัฐแคลิฟอร์เนียได้รับวัคซีนไปเกือบ 1.3 ล้านโดส แต่ฉีดวัคซีนได้เพียง 454,000 โดสเท่านั้น หรือเพียง 1%

ขณะที่ผู้ว่าการรัฐประกาศแพ็คเกจช่วยเหลือรัฐแคลิฟอร์เนียวงเงิน 4.5 พันล้านเหรียญ ซึ่งประกอบไปด้วยวงเงินที่มากกว่า 1 พันล้านเหรียญสำหรับภาคธุรกิจขนาดเล็กเพื่อยอมลดหรือละเว้นค่าธรรมเนียม

นอกจากนี้ แพ็คเกจช่วยเหลือจะประกอบด้วยภาษีสินเชื่อสำหรับการจ้างงานรอบใหม่ ที่จะช่วยหนุนตลาดแรงงาน และฟื้นฟูตลาดที่อยู่อาศัย

ภาพรวมรัฐแคลิฟอร์เนียมีการเสียชีวิตทะลุ 26,500 รายในวันจันทร์ที่ผ่านมา และยืนยันยอดสะสมรวม 2.4 ล้านรายในพื้นที่ ขณะที่ยอดรวมสะสมของประเทศสหรัฐฯทะลุ 21.1 ล้านราย ควบคู่กับการเสียชีวิตสะสมในประเทศสูงกว่า 359,000 ราย

 

·         ชาวอเมริกันจำนวนมากเข้ารับการรักษาไวรัสโคโรนาในโรงพยาบาลมากกว่าทุกครั้งที่เริ่มการระบาด

เนื่องจากการติดเชื้อรวมสะสมทะลุ 21 ล้านราย ทำให้มีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นทั่วสหรัฐฯ และความพยายามในการฉีดวัคซีนครั้งประวัติศาสตร์ก็ล่าช้า

โดยข้อมูลด้านสาธารณสุขของ Reuters เผยว่า การเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลสหรัฐฯทำสถิติสูงสุดถึง 130,834 รายเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ขณะที่รายงานผู้เสียชีวิต 3,684 ราย

นั่นหมายความว่าในวันอังคารที่ผ่านมามีคนเสียชีวิตในสหรัฐฯจากไวรัสโคโรนาทุกๆ 24 วินาที โดยมีผู้เสียชีวิตทั้งหมดมากกว่า 357,000 ราย

 

·         วิกฤต Covid-19 ฉุกเฉินในอังกฤษ โรงพยายามร้องหาความพร้อมในการแอดมิทผู้ป่วย

ขณะที่หน่วยงานด้านสาธารณสุขกำลังเตรียมโรงพยาบาลสนาม 7 แห่งเพื่อรองรับวิกฤต Covid-19 ฉุกเฉิน จากยอดติดเชื้อไวรัสใหม่ที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการระบาดของสายพันธ์ุใหม่ที่เพิ่มขึ้น ที่ทำให้ห้องไอซียูไม่เพียงพอรับรองผู้ป่วย

 

 

·         ทางการจีนเริ่ม Lockdown พื้นที่บางส่วนของจังหวัดใกล้เคียงกับปักกิ่งหลังจากมีผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาเพิ่มขึ้น

 

โดยข้อจำกัดที่นำมาใช้ในมณฑลเหอเป่ยในสัปดาห์นี้ถือเป็นมาตรการที่เข้มงวดที่สุดนับตั้งแต่การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาในประเทศในเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา รวมทั้งการระบาดระลอกใหม่ในสหรัฐฯและยุโรป การตอบสนองที่ยากลำบากในช่วงแรกของจีนต่อการระบาดใหญ่ส่งผลให้เศรษฐกิจหดตัว 6.8% ในไตรมาสแรก

 

ฉือเจียจวงซึ่งเป็นเมืองหลวงของมณฑลเหอเป่ยและตั้งอยู่ห่างจากปักกิ่งไปทางตะวันตกเฉียงใต้โดยใช้เวลาขับรถประมาณ 3 ชั่วโมงครึ่ง โดยมีรายงานผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 50 รายและไม่มีอาการ 67 รายในวันพุธที่ผ่านมา ส่งผลให้มีผู้ป่วยที่ได้รับการยืนยันในปัจจุบันรวม 90 รายและผู้ป่วยที่ไม่มีอาการ 144 ราย

 

เมืองนี้ห้ามไม่ให้ผู้โดยสารไปที่สถานีรถไฟ ระงับรถประจำทางทางไกล ปิดโรงเรียนและควบคุมการเข้าออกอพาร์ทเมนต์อย่างเข้มงวดมากขึ้น ขณะที่ทางการได้ปิดกั้นทางหลวงสายสำคัญในจังหวัดด้วย

 

 

·         ญี่ปุ่นตั้งเป้าที่จะกำหนดภาวะฉุกเฉินเป็นเวลา 1 เดือนในโตเกียวและอีก 3 จังหวัดใกล้เคียง ขณะที่ยอดผู้ติดเชื้อจากไวรัสโคโรนารายใหม่ในญี่ปุ่นเพิ่มสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ 2,447 ราย

ข้อเสนอสำหรับการประกาศภาวะฉุกเฉินตั้งแต่วันที่ 8 ม.ค. - 7 ก.พ. ซึ่งนายโยชิฮิเดะ ซูงะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น อนุมัติมาตรการที่เข้มงวดมากขึ้นเพื่อต่อสู้กับการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา โดยจะขอให้ประชาชนอยู่แต่ในบ้าน และเรียกร้องให้ธุรกิจต่างๆ รวมถึงร้านอาหาร สถานบันเทิง และห้างสรรพสินค้า งดให้บริการเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในเวลา 19.00 น. และปิดให้บริการในเวลา 20.00 น.

ทั้งนี้ ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้นหลังจากญี่ปุ่นพบผู้ติดเชื้อไวรัสแตะ 6,000 รายเป็นครั้งแรก ซึ่งได้สร้างความกังวลว่าจำนวนผู้ป่วยจะล้นโรงพยาบาล

 

 

·         ศบค. พบผู้ติดเชื้อโควิดรายใหม่เพิ่ม 305 ราย จากในประเทศ 193 ราย




ศบค. แถลงผู้ติดเชื้อโควิดรายใหม่วันนี้ (7 ม.ค.) เพิ่มอีก 305 ราย ในประเทศ 193 ราย เป็นแรงงานข้ามชาติ 109 ราย เผย บุรีรัมย์จังหวัดล่าสุดติดเชื้อ 1 ราย

วันที่ 7 มกราคม 2564 นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. แถลงสถานการณ์ผู้ติดเชื้อโควิด-19 ประจำวันว่า วันนี้พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 305 ราย เป็นการติดเชื้อในประเทศ 193 ราย ติดเชื้อในกลุ่มแรงงานข้ามชาติจากการคัดกรองเชิงรุก 109 ราย และผู้เดินทางมาจากต่างประเทศและเข้าสถานกักกันโรค(Quarantine) 3 ราย

 

รวมติดเชื้อในประเทศสะสม 9,636 ราย แบ่งเป็นการติดเชื้อในประเทศ 7,551 ราย กลุ่มแรงงานต่างด้าว 2,684 ราย รักษาหายแล้ว 4,521 ราย มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม คน  รวมเสียสะสมที่ 67 คน


·         นายไมค์ ปอมเปโอ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เผย สหรัฐฯกำลังพิจารณา "คว่ำบาตร" การมีส่วนเกี่ยวข้องกับการจับกุมชาวฮ่องกง 50 รายจากเหตุประท้วง โดยจะมุ่งเป้าไปที่ "สำนักงานด้านเศรษฐกิจและการค้าของจีนในสหรัฐฯ"

 

·         โฆษกรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของจีน กล่าวว่า จะหามาตรการ "ตอบโต้" ที่จำเป็นต้องปกป้องสิทธิและผลประโยชน์ของบริษัทจีน จากการที่สหรัฐฯตัดสินใจสั่งระงับการทำธุรกรรมซื้อขายหุ้นบริษัท Alibaba และ Tencent

 

·         บริษัทอังกฤษกว่า 4,000 แห่ง "เสี่ยงสูง" จะประสบความล้มเหลวจากวิกฤตไวรัส Covid-19

ผลสำรวจ FCA เผยว่า บริษัททางการเงินกว่า 23,000 แห่ง มีความสามารถในการรับมือ Covid-19 ที่ฉุดเศรษฐกิจอังกฤษประสบภาวะขาลงแย่สุดในรอบ 300 ปี แล้วพบว่าการข้อมูลในเดือนต.ค. มีบริษัททางการเงินกว่า 4,000 แห่ง ที่มีสภาวะทางการเงินในการรับมือต่ำ เสี่ยงประสบความล้มเหลว

 

·         ธนาคารกลางอินเดียจะจับตาไปยังเงินเฟ้อ และการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่จะเป็นตัวบ่งชี้การตัดสินใจการดำเนินนโยบายในอนาคต

แรงกดดันเงินเฟ้อและทิศทางฟื้นตัวทางเศรษฐกิจจะกลายเป็นแนวทางการดำเนินนโยบายในอนาคต 

ผู้เชี่ยวชาญและเป็นนักเศรษฐศาสตร์จาก Indiara Grandhi Institute and Development Research โดยระบุว่า คณะกรรมาธิการกำหนดนโยบายของธนาคารกลางอินเดีย RBI น่าจะกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อ โดยจะเห็นได้ชัดจากการประชุมเมื่อเดือนต.ค.

นอกจากนี้ การที่ประเทศถูก Lockdown ก็ดูจะส่งผลกระทบต่อการอุปโภคบริโภคในภาคเอกชนและอุปสงค์การลงทุน รวมทั้งเป็นตัวกดดันให้จีดีพีในช่วง ไตรมาสติดต่อกันนั้นหดตัว

 

·         น้ำมันปรับตัวสูงขึ้นจากข้อจำกัดด้านอุปทาน ขณะที่ตลาดให้ความสนใจต่อเหตุจลาจลที่สภาคองเกรส

ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นเนื่องจากซาอุดีอาระเบียซึ่งเป็นผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลกตกลงที่จะลดกำลังการผลิตลงในช่วงสองเดือนข้างหน้า และข้อมูลสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐฯที่ลดลง

สภาคองเกรสค่อนข้างวุ่นวายจากกลุ่มผู้ให้การสนับสนุนนายทรัมป์ที่ก่อเหตุชุมนุมและส่งกระทบต่อตลาดน้ำมัน ขณะที่นักวิเคราะห์บางราย เชื่อว่า การดำเนินการของทีมบริหารของนายโจ ไบเดน มีแนวโน้มจะสั่งห้ามผลิตน้ำมันสหรัฐฯ

น้ำมันดิบ Brent ปรับขึ้น 40 เซนต์ หรือ 0.7% ที่ระดับ 54.70 เหรียญ/บาร์เรล หลังจากเมื่อคืนขึ้น 1.3%

น้ำมันดิบ WTI ปรับเพิ่มขึ้น 43 เซนต์ หรือ 0.9% ที่ระดับ 51.06 เหรียญ/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 1.4% ในเมื่อวาน


บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com