• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคค่ำ) ประจำวันที่ 21 ธันวาคม 2563

    21 ธันวาคม 2563 | Economic News
 

· ดัชนีดอลลาร์กลับมาทรงตัวได้เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักเหนือ 90 จุดอีกครั้ง หลังร่วงลงไปเมื่อไม่นานมานี้ ล่าสุดอยู่แถว 90.427 จุด

· "ปอนด์อ่อนค่า" อังกฤษเผชิญ Covid-19 สายพันธุ์ใหม่ - Brexit เจรจาไม่คืบ

ค่าเงินปอนด์อ่อนค่าลงต่อในวันนี้ ท่ามกลารงสถานการณ์ในอังกฤษที่ไม่สู้ดีนักจาก

- ความกังวลเรื่องการพบเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ที่แพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็ว

- ความไม่แน่นอนเจรจาการค้า Brexit ท่ามกลางกำหนดเส้นตายที่ใกล้เข้ามาทุกขณะในวันที่ 31 ธ.ค. และทั้งสองฝ่ายยังตกลงกันไม่ได้ในเรื่องการเจรจาการประมงและด้านอื่นๆ

- การ Lockdown ของอังกฤษและประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะการเดินทางจากอังกฤษ

เพื่อป้องกันเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่เข้าสู่ประเทศ

- รัฐบาลอังกฤษ ประกาศคำสั่ง Lockdown Covid-19 ที่เข้มงวดมากขึ้นในกรุงลอนดอนก่อนเทศกาลคริสต์มาส

ค่าเงินปอนด์ อ่อนค่าลงกว่า 1% แตะ 1.3349 ดอลลาร์/ปอนด์ เมื่อเทียบกับระดับแข็งค่ามากสุดแถว 1.36 ดอลลาร์/ปอนด์ในสัปดาห์ที่แล้ว

ค่าเงินยูโรอ่อค่าลงมาแถว 1.2184 ดอลลาร์/ยูโร หลังสัปดาห์ที่แล้วแตะ 1.225 ดอลลาร์/ยูโร


นักวิเคราะห์มองปอนด์ขาขึ้น (แข็งค่า)

นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ ระบุกับทาง CNBC ว่า เงินปอนด์มีโอกาสแข็งค่าต่อได้ในปี 2021 แม้ค่าเงินจะเผชิญกับความผันผวน

- นักกลยุทธ์อาวุโสจาก National Australia Bank (NAB)

คาดว่า เงินปอนด์มีโอกาสแข็งค่าต่อ พร้อมมองเจรจา Brexit ตกลงได้ก่อนสิ้นปี แม้จะเผชิญปัญหาทางการเมืองและเป็นเรื่องยากในการทำข้อตกลงร่วมกัน เนื่องด้วยภาคการประมง เป็นส่วนหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับภาคอุตสาหกรรม ที่เชื่อมโยงกับภาครวมของข้อตกลงทางเศรษฐกิจที่กำลังเป็นประเด็นอยู่

ระยะสั้นๆ การเจรจาอาจกระทบต่อภาพรวมทางเศรษฐกิจ แต่การใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและวัคซีนในอีกไม่กี่เดือน "จะเป็นปัจจัยบวกต่อค่าเงินปอนด์ในระยะกลาง"

- กรรมการผู้จัดการและนักกลยุทธ์ด้านค่าเงินและอัตราดอกเบี้ยต่างประเทศ จาก Macquarie Group คาดหวังว่าจะเห็นแนวทางการแก้ไขปัญหาในเชิงบวกเรื่องการเจรจา Brexit ภายในสิ้นสัปดาห์นี้ และคาดน่าจะเกิดข้อตกลงได้


· อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปรับตัวสูงขึ้นในช่วงเช้าวันนี้ เนื่องจากสภาคองเกรสเตรียมโหวตในแพ็คเกจช่วยเหลือผลกระทบจากไวรัสโคโรนามูลค่า 9 แสนล้านเหรียญ แต่ยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันพันธ์ใหม่ในอังกฤษ

โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯอายุ 10 ปี ปรับลดลงแตะ 0.9263% ขณะที่อัตราผลตอบแทนอายุ 30 ปีปรับลงแตะ 1.6776%


· แพ็คเกจกระตุ้นเศรษฐกิจรับมือวิกฤต Covid-19 ฉบับใหม่ของสหรัฐฯ จะรวมถึงการจ่ายเช็ค 600 เหรียญ และสวัสดิการว่างงาน 300 เหรียญ

สภาคองเกรสมีมติผ่านร่างกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงินจำนวนมหาศาลอีกครั้งในหน้าประวัติศาสตร์ประเทศ ในวงเงินเกือบ 1 ล้านล้านเหรียญ ที่ประกอบด้วยเช็คกระตุ้นเศรษฐกิจรอบ 2 วงเงินกว่า 600 เหรียญแก่สหรัฐฯ พร้อมด้วยเงินสวัสดิการว่างงานมูลค่า 300 เหรียญ เป็นระยะเวลาต่อเนื่อง 11 สัปดาห์

ประกันคนว่างงาน

ร่างกฎหมายเตรียมอัดฉีดเงินพิเศษ 100 เหรียญ/สัปดาห์ให้แก่แรงงานที่มีค่าแรง หรือรายได้จาการจ้างงานได้รับผลกระทบน้อยตามเงื่อนไข UI Provisions

การปล่อยเงินกู้ภาคธุรกิจขนาดเล็ก

ร่างกฎหมายฉบับใหม่นี้รวมเข้ากับวงเงินช่วยภาคธนาคารขนาดเล็กประมาณ 2.48 แสนล้านเหรียญภายใต้โครงการเงินกู้ PPP

1.2 หมื่นล้านเหรียญ สำหรับช่วยเหลือเจ้าของภาคธุรกิจขนาดเล็ก

1.5 หมื่นล้านเหรียญ สำหรับภาคธุรกิจจัดแสดง, กลุ่มโรงภาพยนตร์ เอกชน และสถาบันด้านวัฒนธรรม

เช็คกระตุ้นเศรษฐกิจ

600 เหรียญ สำหรับเช็คเงินสดสำหรับผู้จ่ายภาษีเงินได้ต่ำกว่า 75,000 เหรียญ/ปี และกลุ่มเด็กเล็ก (รอบนี้น้อยกว่า 1,200 เหรียญจากการจ่ายครั้งแรกภาใต้กฎหมาย CARES Act)

ในส่วนนี้ไม่ได้มีการจ่ายเพิ่มให้กับภาคครัวเรือนที่ได้รับวงเงินไปแล้ว

การช่วยเหลือกลุ่มผู้เช่า

2.5 หมื่นล้านเหรียญ สำหรับการช่วยเหลือการจ่ายค่าเช่าในอนาคตและค่าสาธารณูปโภค และมีการขยายเวลาการชำระหนี้เพื่อเลื่อนเวลาการไล่ผู้เช่าออกนอกพื้นที่ไปจนถึง 31 ม.ค. ปี 2021

CEO จาก National Low Income Housing Coalition (NLIHC) แต่การดำเนินการในส่วนนี้ "อาจไม่เพียงพอ" แต่ก็อาจมีการร้องขอฉุกเฉินได้ตามความจำเป็น และข้อมูลจากกลุ่มผู้เช่ารายได้น้อยในเวลานี้มีค่าเช่าย้อนหลังรวมกันราว 3 - 7 หมื่นล้านเหรียญ

การช่วยเหลือด้านอาหาร

มีวงเงิน 1.3 หมื่นล้านเหรียญที่เพิ่มให้กับกองทุน SNAP

สิ่งที่ไม่รวมในร่างกฎหมายฉบับนี้

- การช่วยเหลือรัฐต่างๆ และรัฐบาลท้องถิ่น

- การจ่ายเช็คผู้สูงอายุที่อยู่ในการอุปการะ หรือผู้ได้รับเงินค่าจ้างขั้นต่ำ

· เมื่อวานนี้ นายมิทช์ แมคคอนเนลล ผู้นำเสียงข้างมากของวุฒิสภา และนายชัค ชูเมอร์ส ผู้นำเสียงข้างน้อยในวุฒิสภา บรรลุข้อตกลงแพ็คเกจกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 9 แสนล้านเหรียญ คาดจะเกิดการลงมติในวันนี้

· วัคซีน Pfizer และ BioNTech พร้อมแพร่หลายต่อสาธารณชนทั่วสหรัฐฯ ขณะที่ Moderna เริ่มต้นฉีดวัคซีนครั้งแรกวานนี้กับกลุ่มคนทำงานและผู้มีอายุสูงกว่า 75%


· "Covid-19 คุมไม่อยู่" สายพันธุ์ใหม่อาละวาดในอังกฤษ - นานาประเทศแบนการเดินทางจากอังกฤษ

ทางฝั่งยุโรป ไม่ว่าจะเป็น ฝรั่งเศส, เยอรมนี, อิตาลี, ไอร์แลนด์ และเนเธอร์แลนด์ มีการสั่งระงับเที่ยวบินทั้งหมดจากอังกฤษ

ประเทศอื่นๆ อาทิ แคนาดา และอิสราเอล ก็ประกาศคำสั่งใหม่ในการห้ามเที่ยวบนจากอังกฤษเช่นกัน


· ประเทศในเอเชียรวมถึงญี่ปุ่นและเกาหลีใต้กำลังให้ความสนใจไปยังสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาที่รุนแรงในอังกฤษอย่างใกล้ชิด แต่ไม่มีการยกเลิกเที่ยวบินในอังกฤษในทันที

โดยทางอังกฤษ ระบุว่า ไวรัสโคโรนากลายพันธุ์อาจติดเชื้อได้มากขึ้นถึง 70% พร้อมกระตุ้นให้เพื่อนบ้านในยุโรปและประเทศอื่น ๆ รวมถึงแคนาดาและอิหร่านปิดประตูไม่ต้อนรับนักเดินทางจากอังกฤษตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ผ่านมาเป็นต้นไป ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับการกลายพันธุ์ของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่สามารถแพร่ระบาดรวดเร็วกว่าสายพันธุ์เดิม


· ที่ประชุมเศรษฐกิจจีน 16-18 ธ.ค.ที่ผ่านมา ชี้ "จีนฟื้นตัวไม่แข็งแกร่ง"

บรรดาผู้นำจีนได้ร่วมหารือกันที่ Central Economic Work Conference เมื่อช่วงปลายสัปดาห์ พบว่า ความพายามในการควบคุม Covid-19 ช่วยให้จีดีพีที่ -6.8% ช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ สามารถกลับมาฟื้นตัวได้ 3.2% ในไตรมาสที่ 2/2020

หัวหน้านักกลยุทธ์และนักวิจัยจาก China Renaissance กล่าวว่า ภาพรวมเศรษฐกิจจีนยังฟื้นตัวไม่แข็งแกร่ง และมีการเติบโตของอุปสงค์และการอุปโภคบริโภคภายในปรเทศที่ลดลง

ด้านการลงทุนในภาคการผลิตก็พบว่าไม่ได้เกิดรายได้ที่รีาวน์อย่างแข็งแกร่ง มีความไม่แน่นอนในเรื่องการส่งออก และการจ้างงาน รวมทั้งความกังวลในหลายๆประเทศ

ภาพรวมบรรดานักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่เชื่อว่าจีนจะฟื้นตัวได้มากจากการออก ที่ได้รับอานิสงส์จากต่างประเทศ แต่ในความเป็นจริง หลายๆฝ่ายในจีนยัง กังวลเรื่องค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับรายได้ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

เศรษฐกิจจีนปีนี้น่าจะโตได้ราว 2% และยอดค้าปลีกสิ้นเดือนพ.. ประกาศออกมาลดลง 4.8% เมื่อเทียบกับปีก่อน

ปีหน้าจึงคาดจะเห็นเศรษฐกิจจีนโตได้อย่างช้าๆ และทำให้เศรษฐกิจยังต้องมีการคงคาดการณ์เติบโตไว้ในกรอบ มองปีหน้าจีดีพีจีนจะโตได้ 8% แต่อาจโตได้เพียง 5% จาก 5% ในปีนี้ ดังนั้น จึงจะเป็นตัวสะท้อนถึงการชะลอตัวจาก 6.1% ในปี 2019


· ธนาคารกลางจีน ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ (LPR) ประเภท 1 ปี ไว้ที่ระดับ 3.85% และคงอัตราดอกเบี้ย LPR ประเภท 5 ปี ไว้ที่ระดับ 4.65% โดยคงอัตราดอกเบี้ยทั้งสองประเภทติดต่อกัน 8 เดือน


· บีโอเจ ระบุว่า ภาคครัวเรือนของญี่ปุ่นถือครองสินทรัพย์ด้านการเงินประจำเดือนก.ย.ในระดับสูงเป็นประวัติการณ์ที่ 18 ล้านล้านเหรียญ ซึ่งเพิ่มขึ้น 2.7% เมื่อเทียบรายปี เนื่องจากแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาทำให้การอุปโภคบริโภคชะลอตัวลง และทำให้ประชาชนมีเงินสดและเงินฝากมากขึ้น

นอกจากนี้ การที่ภาคครัวเรือนของญี่ปุ่นมีสินทรัพย์มากขึ้น ยังเป็นผลมาจากการที่รัฐบาลออกโครงการแจกเงินสดให้กับประชาชนคนละ 100,000 เยน เพื่อบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดของไวรัสดังกล่าว ซึ่งผลสำรวจพบว่าผู้บริโภคไม่ได้นำเงินดังกล่าวไปใช้จ่าย แต่เก็บไว้เป็นเงินออม แม้จะขัดกับจุดประสงค์ของนโยบายก็ตาม

ทั้งนี้ ยอดรวมของสินทรัพย์ในรูปเงินสดและเงินฝากของภาคครัวเรือนญี่ปุ่น ปรับตัวขึ้น 4.9% แตะที่ 1,034 ล้านล้านเยน ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และคิดเป็น 54.4%ของสินทรัพย์โดยรวมที่ถือครองโดยครัวเรือนญี่ปุ่น


· นายทีโอโดโร ล็อกซิน รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศของฟิลิปปินส์ กล่าวว่า จะเริ่มต้นเจรจากับบริษัท Moderna Inc. ภายในวันที่ 30 ธ.ค.นี้ เพื่อซื้อวัคซีนป้องกันไวรัสโคโรนา

พร้อมทั้งยังกล่าวด้วยว่า ฟิลิปปินส์สั่งซื้อวัคซีนจำนวน 30 ล้านโดสจากบริษัท Novavax Inc.’s โดยวัคซีนดังกล่าวจะผลิตโดยสถาบัน Serum ของอินเดีย และสามารถนำมาใช้ได้ในเดือนก.ค. ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าทางการฟิลิปปินส์จะไม่ต้องจ่ายเงินล่วงหน้าและอาจมีการลงนามในข้อตกลงก่อนสิ้นปีนี้


· กรุงจาการ์ตาประกาศขยายเวลามาตรการควบคุมกาแรพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาไปอีก 2 สัปดาห์นับตั้งแต่วันนี้ (21 ธ.ค.) ไปจนถึงวันที่ 3 ม.ค. เพื่อป้องกันไม่ให้มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นในช่วงเทศกาลวันหยุด เนื่องจากผู้ติดเชื้อไวรัสยังคงมีจำนวนเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง


· ราคาน้ำมันปรับลดลงเนื่องจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ได้สร้างความกังวลต่ออุปสงค์น้ำมัน

ราคาน้ำมันปรับลดลงราว 3% ในวันนี้ เนื่องจากผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ที่แพร่กระจายอย่างรวดเร็วส่งผลให้บางส่วนของประเทศอังกฤษต้องประกาศภาวะ Shutdown ทำให้เกิดความวิตกกังวลต่อความต้องการใช้เชื้อเพลิงที่ชะลอตัวลงท่ามกลางข้อจำกัดที่เข้มงวดมากขึ้นในยุโรป

น้ำมันดิบ Brent ปรับลดลง 1 เหรียญ หรือ 3.0% ที่ระดับ 50.72 เหรียญ/บาร์เรล หลังจากเพิ่มขึ้น 1.5% แตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา

น้ำมันดิบ WTI ปรับลดลง 1.42 เหรียญ หรือ 2.9% ที่ระดับ 47.68 เหรียญ/บาร์เรล หลังจากที่เพิ่มขึ้น 1.5% เมื่อวันศุกร์ แตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์

โดยราคาปรับลง หลังจากที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 7 ท่ามกลางเหล่านักลงทุนที่ให้ความสนใจไปยังการเปิดตัววัคซีน COVID-19


บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com