Goldman Sachs มีมุมมองต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯที่แข็งแกร่งเชิงบวกในปีหน้า และคาดว่าจีดีพีน่าจะโตได้เร็วแตะ 5.3% ในปีหน้า สูงกว่าเฟดคาดที่ 4%
โดย Goldman Sachs ประเมินว่า
- สหรัฐฯจะเผชิญกับช่วงเลวร้ายที่สุดก่อนที่ทุกอย่างจะดีขึ้น และสามารถ “ฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว”
- การปราศจากการสนับสนุนทางการเงินในเวลานี้ช่วยให้รายได้ปรับตัวลง
- Third Wave ถือเป็นความเสี่ยงขนาดใหญ่ที่มีแนวโน้มจะแย่ลงจากสภาพอากาศหนาวที่ร่วมด้วย
อย่างไรก็ดี วัคซีนน่าจะได้รับการอนุมัติในช่วงต้นปี 2021 และกลุ่มเสี่ยงสูงจะได้รับการฉีดก่อนเป็นกลุ่มแรก และเมื่อกระบวนการนี้เริ่มต้นขึ้น “เศรษฐกิจก็จะได้รับการฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว”
คนว่างงานลดลง
Goldman Sachs เสริมว่า เมื่อเข้าสู่กระบวนการข้างต้น
- การจ้างงานจะเพิ่มสูงขึ้น
- อัตราว่างงานจาก 6.9% มีแนวโน้มจะปรับลดลงมาที่ 5.3% ในช่วงสิ้นปี 2021
ทั้งนี้ บางส่วนน่าจะเป็นผลมาจากการเพิ่มมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากทางสภาคองเกรสควบคู่ไปด้วย และคาดว่าน่าจะไม่ต่ำกว่า 1 ล้านล้านเหรียญ หรือ 2.5 ล้านล้านเหรียญ ตามที่เดโมแครตนำเสนอ แต่การมีมาตรการใดๆออกมา ดูจะหนุนให้เศรษฐกิจของประเทศกลับมาขยายตัวได้เร็วขึ้นอีกครั้ง
นอกจากนี้ การกลับมาเปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้อย่างเต็มรูปแบบจะหนุนให้กลุ่มผู้ให้บริการสำหรับผู้บริโภคปรับขึ้น จากผลผลิตที่ยังคงอยู่ในระดับที่ดีมาก และอาจช่วยให้การอุปโภคบริโภคของสหรัฐฯ กลับมามีโอกาสฟื้นตัวได้ตั้งแต่ช่วงกลางปีหน้า จึงช่วยสร้างโอกาสการเพิ่มค่าใช้จ่าย และทำให้ภาคครัวเรือนมีอัตราเก็บออมที่ชะลอตัว รวมทั้งการใช้จ่ายเพื่อการออม
Goldman Sachs คาด
- การใช้จ่ายของผู้บริโภคจะกลับมาฟื้นตัวได้ 98% เทียบเท่ากับช่วงก่อนการระบาดได้
- ภาวะล้มละลายในภาคธุรกิจจะน้อยลง จากการสนับสนุนของภาครัฐบาล
- ภาคที่อยู่อาศัยคาดจะฟื้นตัวต่อเนื่อง
- การอุปโภคบริโภคสินค้าคงทนอาจจะชะลอตัว
ถึงกิจกรรมทางเศรษฐกิจจะรีบาวน์ ก็ไม่น่าจะกระตุ้นให้เฟดดำเนินการใดเพิ่มเติม
- เฟดน่าจะไม่ขึ้นดอกเบี้ยจนกว่าเงินเฟ้อจะถึง 2%
- เฟดอาจไม่ขึ้นดอกเบี้ยจนถึงช่วงต้นปี 2025
- หากเฟดจะเริ่มขึ้นดอกเบี้ยจะอยู่ที่ 0.5% ต่อปี จนกว่าอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นจะขึ้นถึง 2% - 2.25% เมื่อเทียบกับระดับดอกเบี้ยปัจจุบันที่อยู่ใกล้ศูนย์
ที่มา: CNBC