· ดอลลาร์อ่อนค่า หลังตลาดหวังแพ็คเกจสหรัฐฯ และการปล่อยตัวทรัมป์หนุนหุ้น
ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักส่วนใหญ่ จากมุมมองเชิงบวกที่เพิ่มขึ้นว่า
สภาคองเกรสสหรัฐฯอาจตกลงกันได้สำหรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่
สำหรับการที่นายทรัมป์ ได้รับอนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาลได้ เพื่อรักษาต่อที่ทำเนียบขาว ก็ดูจะหนุนสินทรัพย์เสี่ยง และลดความไม่แน่นอนทางการเมืองในระยะสั้นๆนี้ได้
ดัชนีดอลลาร์อ่อนค่าลงมาแตะ 93.381 จุด ทำต่ำสุดรอบ 2 สัปดาห์
ค่าเงินยูโรทรงตัวบริเวณ 1.1792 ดอลลาร์/ยูโร หลังแข็งค่าไปกว่า 0.58% วานนี้
ค่าเงินปอนด์ทรงตัวที่ 1.2990 ดอลลาร์/ปอนด์ เข้าใกล้แนวต้านสำคัญ 1.30 ดอลลาร์/ปอนด์ แม้จะมีความกังวลเรื่อง No-Deal Brexit ก็ตาม
ค่าเงินเยนแข็งค่ามาแถว 105.66 เยน/ดอลลาร์ ใกล้ระดับแข็งค่ามากที่สุดในรอบเกือบ 3 สัปดาห์
ค่าเงินหยวนแข็งค่าที่ 6.7281 หยวน/ดอลลาร์ หลังจากวานนี้ไปทำแข็งค่ามากสุดตั้งแต่เม.ย. ปีที่แล้ว
· ปัจจัยสำคัญต่อตลาดการเงิน
ขณะที่ส่วนใหญ่กำลังให้ความสนใจต่อเรื่องของ "ทรัมป์" และ "สิ่งเกิดขึ้นในสหรัฐฯ" สัปดาห์นี้ยังต้องจับตาถ้อยแถลงของประธานธนาคารกลางขนาดใหญ่ด้วย โดยคืนนี้จะมี
- ถ้อยแถลงของ นางคริสติน ลาการ์ด ประธานอีซีบี
ถือเป็นประเด็นสำคัญมากที่อาจได้ยินถึงความชัดเจนเกี่ยวกับทิศทางของยุโรป และจะส่งผลต่อค่าเงินยูโรได้ ขณะที่อีซีบีอยู่ระหว่างเจรจาว่าอาจจะปรับเป้าหมายเงินเฟ้อให้เหมาะสมตามสหรัฐฯหรือไม่ และประเด็นนี้คือสิ่งที่ตลาดรอคอย
- ถ้อยแถลงของ นายเจอโรม โพเวลล์ ประธานเฟด ก่อนทราบรายงานประชุมเฟดเดือนก.ย. ในคืนพรุ่งนี้
- ข้อมูล PMI ภาคการก่อสร้างอังกฤษ ที่อาจกระทบกับค่าเงินปอนด์
- เทรดเดอร์น้ำมันน่าจะกำลังรอการเปิดเผยแนวโน้มพลังงานในระยะสั้นๆจาก EIA
· ความเห็นนักวิเคราะห์ต่อค่าเงินดอลลาร์
* หัวหน้านักกลยุทธ์ค่าเงินจาก Mizuho Securities หวังว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจะเกิดขึ้นได้ แต่การปล่อยตัวของนายทรัมป์ ที่ถึงแม้ยังไม่ทราบถึงผลกระทบหรืออาการที่แน่ชัด ตลาดหุ้นก็ตอบรับในทิศทางเชิงบวกเป็นที่เรียบร้อย เนื่องจากตลาดลดความกังวลต่อความสามารถในการดำเนินงานและการตัดสินใจของทำเนียบขาว
* หัวหน้านักกลยุทธ์ค่าเงินจาก Nomura Securities กล่าวว่า ตลาดกังวลต่อความเป็นไปได้ของการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งการที่นายไบเดนมีคะแนนนำเรื่อยๆ ก็ดูจะลดความหวังของตลาดลงไป และทำให้ตลาดสนใจต่อเรื่องนโยบายการขึ้นภาษีภาคบริษัท หากนายไบเดนได้เป็นประธานาธิบดีจริง เพราะประเด็นนี้จะมาหักล้างกับการเกิดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯ
* Golman Sachs กล่าวว่า ผลเลือกตั้งดูจะเป็นแบบ "Blue Wave" หรือพรรคเดโมแครตมีคะแนนนำชัดเจน ซึ่งประเด็นนี้ดูจะ*กดดันให้ดอลลาร์อ่อนค่าลง* เนื่องด้วยนายไบเดน มีแนวทางที่หลากหลายในการดำเนินนโยบายต่างประเทศ และมีแนวโน้มน้อยที่จะสร้างเซอร์ไพร์สตลาดหากมีการขึ้นภาษีต่อ
นอกจากนี้ การขึ้นภาษีภาคบริษัทตามนโยบายของนายไบเดน ก็จะส่งผลให้ตลาดหุ้นมีความน่าสนใจลดลง และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจก็ดูจะกดดันดอลลาร์ ท่ามกลางคนว่างงานที่อยู่ในระดับสูงและดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำนั่นเอง
· ผลสำรวจนักเศรษฐศาสตร์ Reuters ชี้ จะมีความวุ่นวายมากขึ้นต่อตลาดค่าเงินในกลุ่มประเทศเกิดใหม่
โดยในอีก 6 เดือนข้างหน้าค่าเงินน่าจะมีความผันผวนอย่างมาก จากผลเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ รวมทั้งการเติบโตของเศรษฐกิจภายในประเทศจะเป็นปัจจัยที่กดดันค่าเงิน ขณะที่แนวโน้มอ่อนค่าของดอลลาร์จะส่งผลให้ค่าเงินมีแนวโน้มแข็งค่าได้มากถึงประมาณ 2% เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยต่อปี
· นายไมค์ ปอมเปโอ รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ เริ่มทำการเข้าพบกับรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศจากชาติพันธมิตรในเอเชียแล้วที่ประเทศญี่ปุ่นตามกำหนดการเดิมวันนี้ โดยมีเป้าหมายเพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับชาติพันธมิตร เพื่อคานอำนาจจีนที่นับวันมีอิทธิพลมากขึ้นเรื่อยๆ
ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญมองว่า การประชุมดังกล่าวอาจยังไม่มีแผนการดำเนินงานที่เจาะจงมาก แต่อาจเป็นสัญญาณเตือนถึงจีน ซึ่งในอนาคตอาจกลายเป็นกลุ่มพันธมิตรอย่างเป็นทางการเหมือนกับกลุ่ม NATO ที่หากมีการจัดตั้งขึ้นจริงจะเป็นภัยคุกคามใหม่ของจีน
· Goldman Sachs คาดเอเชีย มีทิศทางการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ "ดีมาก"
หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ด้านการลงทุนของ Goldman Sachs ระบุว่า ทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจเอเชียเป็นไปในเชิงบวก เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆที่เหลือในโลก เนื่องจากมีการควบคุมสถานการณ์การระบาดของไวรัสโคโรนาได้เป็นอย่างดี ยกเว้นอินเดียและบางประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ในส่วนของภาพรวมเศรษฐกิจโลก มองว่า ภาคอุตสาหกรรมยังคงฟื้นตัวได้ดี จึงเป็นเหตุผลสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในปี 2021
ขณะที่ "มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ" และ "ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ" อาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจในเอเชียได้
ทั้งนี้ หาก "ไบเดน" จากพรรคเดโมแครตเป็นฝ่ายชนะ ก็อาจส่งผลต่อการดำเนินนโยบายด้านภาษีและนโยบายการค้าได้ ซึ่งประเด็นนี้ค่อนข้างเป็น *เรื่องสำคัญ* ต่อเอเชียและกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั่วโลก
อย่างไรก็ดี "มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯ" น่าจะเป็นผลดีต่อเอเชียมากกว่า
· Invesco ระบุว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนจากวิกฤตไวรัสจะช่วยหนุนประเทศเพื่อนบ้านในแถบเอเชีย
สถาบัน Invesco ระบุว่า เศรษฐกิจในแถบเอเชียมีแนวโน้มจะได้รับอานิสงส์จากการรีบาวน์ทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของจีนจากที่เผชิญกับวิกฤตไวรัสโคโรนา
โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาไปยังกลุ่มผู้บริโภคของจีนที่่สามารถฟื้นคืนกลับสู่ภาวะปกติได้อย่างรวดเร็ว ก็ยิ่งตอกย้ำมุมมองที่ว่าชาวจีนจะเป็นส่วนที่สำคัญอย่างมากที่จะช่วยสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจเอเชีย
· ธนาคารกลางออสเตรเลียคงดอกเบี้ย แต่ส่งสัญญาณผ่อนคลายทางการเงินเพิ่ม
ธนาคารกลางออสเตรเลีย (RBA) มีการคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับต่ำเป็นประวัติการณ์ 0.25% ตามคาด แต่มีการกล่าวย้ำถึงการพิจารณาที่เพิ่มการผ่อนคลายทางการเงินเพื่อสนับสนุนภาคแรงงานและเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตไวรัสโคโรนาที่ส่งผลให้การเติบโตของประเทศหดตัวลงมากที่สุดนับตั้งแต่ยุค Great Depression ขณะที่อัตราคนว่างงานภายในประเทศยังอยู่ในระดับสูง
· ญี่ปุ่นจับตาการทดสอบ Stress Test ของธนาคารรายใหญ่ในประเทศต่อการรับมือผลกระทบทางการเงินจากไวรัสโคโรนา
· ประเทศสก็อตแลนด์ตัดสินใจ Lockdown ระยะสั้นเป็นเวลา 2 สัปดาห์ เริ่มศุกร์นี้
· ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นหลังจากทรัมป์กลับสู่ทำเนียบขาว
ราคาน้ำมันดิบปรับเพิ่มขึ้นหลังจาก นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ออกจากโรงพยาบาล และเดินทางกลับมารักษาอาการต่อที่ทำเนียบขาว ขณะเดียวกันพายุที่เกิดขึ้นบริเวณอ่าวเม็กซิโกของสหรัฐฯ ได้ส่งผลกระทบต่อโรงกลั่นน้ำมัน
น้ำมันดิบ WTI ปรับขึ้น 24 เซนต์ หรือ +0.6% ที่ระดับ 39.46 เหรียญ/บาร์เรล ทางด้าน น้ำมันดิบ Brent ปรับขึ้น 21 เซนต์ หรือ +0.5% ที่ระดับ 41.50 เหรียญ/บาร์เรล
อย่างไรก็ดี เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ราคาน้ำมันลดลงอย่างรวดเร็ว หลังจากที่นายทรัมป์ต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล ขณะที่เมื่อวานนี้ราคาก็กลับมาปรับตัวขึ้นได้มากกว่า 5% หลังจากที่นายทรัมป์ กล่าวว่าเขาจะกลับไปทำเนียบขาว ประกอบกับข่าวความหวังที่เพิ่มขึ้นว่าจะมีการตกลงกันได้ สำหรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐเพื่อลดผลกระทบของการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา