• CNBC เผยมุมมอง 30 นักกลยุทธ์การตลาดฝั่งเอเชียต่อวิธีการลงทุนช่วงเลือกตั้งสหรัฐฯ

    6 ตุลาคม 2563 | SET News

KEY:

-  CNBC สอบถามนักกลยุทธ์ 30 รายเกี่ยวกับทิศทางการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ และการลงทุนในปัจจุบัน เพื่อแลกเปลี่ยนมุมมอง

-  นักลงทุนในแถบเอเชียยังมีความเห็นต่างกันในเรื่องผลลัพธ์ของการเลือกตั้ง

-  นักลงทุนดูจะพึงพอใจกับการถือครอง “สินทรัพย์ที่สามารถป้องกันความเสี่ยง” ของสถานะพวกเขาในตลาดได้

ค่อนข้างแน่ชัดว่า นักวิเคราะห์ตลาดหุ้นในแถบเอเชียเสียงแตกกันในเรื่องใครจะชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ แต่พวกเขากับมีแนวทางการลงทุนที่ไม่แตกต่างกันมากนัก

ใครจะชนะเลือกตั้งปธน.สหรัฐฯปีนี้

นักวิเคราะห์ 12 ราย คาดว่า นายไบเดน “จะชนะ”
นักวิเคราะห์ 11 ราย ยังคาดไม่ได้ว่าใครจะชนะ
นักวิเคราะห์ 7 ราย คาดว่า นายทรัมป์ “จะชนะ”

หนึ่งในนักวิเคราะห์ที่ร่วมตอบแบบสอบถาม ให้มุมมองว่า ข่าวความไม่แน่นอนในตลาดมีเพิ่มมากขึ้นบ้าง จากการที่นายไบเดนมีคะแนนนิยมเพิ่มขึ้นมากกว่าที่ตลาดคาดการณ์เล็กน้อย แต่ส่วนใหญ่ก็ยังไม่มีใครคาดการณ์ได้ว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง


กลยุทธ์การลงทุนช่วงโหวตเลือกตั้ง

ผลสำรวจส่วนใหญ่ค่อนข้างแน่ชัดว่า ก่อนการเลือกตั้ง
- จะมีการเพิ่มการถือครองเงินสด
- เข้าซื้อสินทรัพย์ในกลุ่ม Safe-Haven เช่น “ทองคำ”

โดยบางส่วนเลือกถือเงินสดในรูปดอลลาร์ หรือเยน ขณะที่บางส่วนจะถือทองคำและตราสารหนี้สหรัฐฯ

มุมมองนักวิเคราะห์ 10 จาก 30 ราย มองว่า “เป็นโอกาสที่ดี” ที่จะย้ายการถือครองหุ้นราคาสูง อย่างหุ้นเทคโนโลยี มาถือครองหุ้นที่มีความนิยมน้อยกว่า เช่น หุ้นกลุ่มเดินทางหรือการท่องเที่ยว
หรือหุ้นที่เกี่ยวข้องกับทิศทางเศรษฐกิจ อาทิ หุ้นกลุ่มธนาคารและภาคอุตสาหกรรม

รวมถึงการซื้อหุ้นเชิงรับ (Defensive Stocks) เช่น หุ้นกลุ่มสุขภาพ, สินค้าสำหรับผู้บริโภค และหุ้นรายตัว อันเป็นหนึ่งในกลยุทธ์การลงทุนที่จะเกิดขึ้น

มีเพียง 1 จาก 30 ราย ที่มองว่า น่าลงทุนในกองทุน REIT, หุ้นกู้โครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Bonds) หรือกองทุน ESG


หุ้นเทคโนโลยีของ จีน vs สหรัฐฯ

ส่วนใหญ่มองว่า “หุ้นบริษัทเทคโนโลยีของจีน” เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมากกว่าสหรัฐฯ

เนื่องด้วย หุ้นเทคโนโลยีในฝั่งเอเชีย “มีราคาถูกกว่า” สหรัฐฯ และมีความเสี่ยงในการถือครอง Options น้อยกว่า รวมทั้งความเสี่ยงตามเกณฑ์ก็น้อยกว่า ขณะที่การซื้อขาย Options ของหุ้นบริษัทเทคโนโลยีสหรัฐฯ” “มีความผันผวนมากกว่า” ทางฝั่งเอเชีย

และ หาก “ไบเดน” เป็นฝ่ายชนะก็อาจมีกฎการควบคุมหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯเพิ่มมากขึ้น


แนวโน้มตลาดเอเชีย

นักวิเคราะห์ 16 จาก 30 ราย คาด ตลาดเอเชียเป็นขาขึ้น (แม้ระยะสั้นจะมีความผันผวน)
- ตลาดหุ้นเอเชียจะปรับขึ้นได้หลังความเสี่ยงจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯจบลง
- การระบาดของไวรัสโคโรนาในแถบเอเชียที่ลดน้อยลง
- พบสัญญาณการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ

ดังนั้น ตลาดหุ้นเอเชียจะเผชิญกับความผันผวนในช่วง 2 – 3 เดือนข้างหน้าจากการเลือกตั้ง และจะรีบาวน์กลับได้ในปี 2021

และ หาก “ไบเดนชนะ” ก็มีโอกาสกดดันหุ้นสหรัฐฯ จึงจะช่วยจำกัดผลกระทบโดยตรงต่อหุ้นเอเชีย และทำให้หุ้นเอเชียมีแนวโน้มสดใสมากกว่าหุ้นสหรัฐฯในระยะสั้น


ไบเดน VS ทรัมป์ ใครจะให้ประโยชน์กับประเทศไหนมากกว่า?

นักกลยุทธ์ส่วนใหญ่มองว่า

หากไบเดนชนะ: จะส่งผลบวกต่อ จีน, ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้
หากทรัมป์ชนะ: จะส่งผลบวกต่อ อินเดีย, เวียดนาม, ฟิลิปปินส์ และไต้หวัน

อย่างไรก็ดี นายไบเดนก็ถูกคาดว่าจะมีการเดินหน้าคุมเข้มกับจีนในระดับปานกลาง แต่หากเป็นนายทรัมป์ น่าจะสนับสนุนสถานะของอินเดียให้แข็งแกร่งขึ้นเพื่อถ่วงดุลการปกครองของจีน


ความสัมพันธ์สหรัฐฯ-จีน

ค่อนข้างเป็นเอกฉันท์ว่านักวิเคราะห์ 30 รายมองว่า

“หากนายไบเดนได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ”

ก็จะมีความตึงเครียดกับจีนต่อไป จากนโยบายต่างประเทศ, ความมั่นคง และทรัพย์สินทางปัญหาของสหรัฐฯ ที่เป็นลักษณะแอนตี้จีน

ถึงแม้ว่านายไบเดน น่าจะมีท่าทีตึงเครียดกับจีนน้อยกว่านายทรัมป์ แต่ก็ยังไม่มีสัญญาณใดบ่งชี้ว่าพรรคเดโมแครตจะมีท่าทีที่ง่ายต่อจีนมากกว่าพรรครีพับลิกัน

“หากนายทรัมป์กลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีอีกสมัย”

ก็จะมีความตึงเครียดกับจีนมากขึ้น จากกรณีสิทธิมนุษยชนฮ่องกง และการระบาดของไวรัสโคโรนา

รวมไปถึงความต้องการ “แยกประเทศเศรษฐกิจ” ระหว่างสองประเทศออกจากกัน


ที่มา: CNBC

บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com