• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคค่ำ) ประจำวันที่ 1 ตุลาคม 2563

    1 ตุลาคม 2563 | Economic News
 

·         ดอลลาร์อ่อนค่า หวังแพ็คเกจกระตุ้นเศรษฐกิจประนีประนอมกันได้

ดอลลาร์อ่อนค่าจากต่ำสุดรอบ 1 สัปดาห์ ท่ามกลางข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯที่แข็งแกร่งจากความหวังรอบใหม่เรื่องมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ของสหรัฐฯ ท่ามกลางความเชื่อมั่นนักลงทุนเกี่ยวกับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่กดดันดอลลาร์

ดัชนีดอลลาร์ทรงตัวที่ 93.664 จุด

เมื่อคืนนี้ นายสตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีกระทรวงการคลังสหรัฐฯ กล่าวให้สัมภาษณ์กับ Fox Business News โดยระบุว่า เขาไม่ยอมรับข้อเสนอจากทางเดโมแครตวงเงิน 2.2 ล้านล้านเหรียญ สำหรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ แต่หากเป็น 1.5 ล้านล้านเหรียญ ซึ่งอาจเพิ่มข้อตกลงบางประการในการจ่ายเงินโดยตรงให้แก่ชาวสหรัฐฯ

หยวนแข็งค่าทำสูงสุดรอบ 1 สัปดาห์ที่ 6.7804 หยวน/ดอลลาร์ แม้ว่าปริมาณการซื้อขายเบาบางจากการที่ตลาดจีนส่วนใหญ่จะปิดถึง 9 ต.ค.

ค่าเงินเยนแข็งค่าในฐานะ Safe-Haven จากท่าทีระมัดระวังของกลุ่มนักลงทุน โดยทรงตัวบริเวณ 105.45 เยน/ดอลลาร์ ซึ่งตลาดแข็งค่าต่อหลังจากที่ทราบดีเบตครั้งแรกของประธานาธิบดีสหรัฐฯ

ยูโรแข็งค่าขึ้นหลัง นางคริสติน ลาการ์ด ประธานอีซีบี ย้ำถึงการจะใช้กลยุทธ์ทั้งหมด และสนับสนุนเงินเฟ้อเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยค่าเงินยูโรแข็งค่า 0.2% ที่ 1.1726 ดอลลาร์/ยูโร ขณะที่เงินปอนด์ทรงตัวบริเวณ 1.2921 ดอลลาร์/ปอนด์

สำหรับข้อมูลที่ต้องติดตามคือ

PMI ยุโรปและอังกฤษในช่วงบ่ายวันนี้  ขณะที่สหรัฐฯจะประกาศคืนนี้ รวมถึงข้อมูลคนว่างงานสหรัฐฯ ที่ทั้งหมดนี้ดูจะเป็นตัวชี้ความคืบหน้าเศรษฐกิจโลกจากวิกฤตไวรัสโคโรนา

 

·         สหรัฐฯเสนอแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.5 ล้านล้านเหรียญ และขยายการช่วยเหลือสายการบิน 2 หมื่นล้านเหรียญ

หัวหน้าเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาว กล่าวว่า ทีมบริหารของนายทรัมป์ เสนอแผนกระตุ้นเศรษฐกิจฉบับใหม่แก่สมาชิกพรรคเดโมแครตในสภาผู้แทนราษฎรในวงเงิน 1.5 ล้านล้านเหรียญ อันรวมถึงงบประมาณ 2 หมื่นล้านเหรียญ เพื่อขยายการช่วยเหลือกลุ่มอุตสาหกรรมสายการบิน

ขณะที่ส.ส. เดโมแครตในสภาผู้แทนราษฎรมีการผลักดันร่างงบประมาณช่วยเหลือ 2.2 ล้านล้านเหรียญ เพื่อต่อสู้กับผลกระทบจากวิกฤตไวรัสโคโรนาที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจ แต่รีพับลิกันมีการนำเสนอมาตรการฉบับใหม่มูลค่า 1.5 ล้านล้านเหรียญแทน โดยระบุว่าการเริ่มมาตรการที่ 2 ล้านล้านเหรียญอาจก่อให้เกิดปัญหาได้

 

 

·         ทรัมป์ลงนามร่างงบประมาณเลี่ยง Shutdown ชั่วคราวเป็นที่เรียบร้อย

 

·         สหรัฐฯตั้งเป้ารับนักศึกษาจีนเพียง 1% จกมาตรการความมั่นคง  ซึ่งสหรัฐฯคาดว่าจะรับนักศึกษาจากจีนเข้าสู่สหรัฐฯเพียง 1% จากจำนวน 4,000 ราย จากปัญหาข้อพิพาทด้านเทคโนโลยีและข้อมูลอื่นๆ

 

·         สัมพันธ์ "สหรัฐฯ-จีน" อาจดิ่งลงสู่ "ภาวะสงครามเย็นครั้งใหม่"

นักวิเคราะห์จาก Fitch Solutions กล่าวว่า ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯและจีนที่เพิ่มมากขึ้นดูจะส่งผลให้เกิดภาวะสงครามเย็นระหว่างกันรอบใหม่ในรอบกว่า 10 ปี ซึ่งอาจกินเวลานานและกระทบต่อเศรษฐกิจโลก ทางด้านทหารและรากฐานของประเทศ และอาจนำไปสู่การแบ่งแยกประเทศบางส่วนของโลกครั้งใหญ่ จากการบล็อกของทั้งสหรัฐฯและจีน

ขณะที่การแยกกันระหว่างประเทศเศรษฐกิจทั้งสองประเทศจะส่งผลให้ฝั่งประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อาจมีเลือกข้างโดยวิธีปฏิบัติตาม แต่ยังคงไว้ซึ่งมิตรภาพกับสองประเทศตราบเท่าที่จะเป็นไปได้

 

·         เจ้าหน้าที่ด้านการเงินกว่า 7,500 รายย้ายออกจากอังกฤษเข้าสู่ยุโรป หวั่นผลกระทบ Brexit

รายงานจากสถาบันที่ปรึกษา EY ระบุว่า พนักงานด้านการเงินกว่า 7,500 ราย และมูลค่าสินทรัพย์ต่างๆนับล้านล้านปอนด์มีการโยกออกจากอังกฤษไปยังยุโรป ท่ามกลางธนาคารต่างๆที่เตรียมรับมือกับ Brexit ที่จะมีผลในเดือนม.ค. ปีหน้า

ภาคธนาคารประกัน และผู้จัดการด้านสินทรัพย์ต่างๆมีการเปิดหรือขยายการลงทุนไปยังศูนย์กลางในยุโรปเพื่อรองรับลูกค้าที่จะเข้าถึงในอนาคต อันเนื่องจากข้อจำกัดการเปลี่ยนผ่านที่จะหมดอายุลงในวันที่ 31 ธ.ค. นี้

อย่างไรก็ดี  ยังมีจำนวนพนักงานและสินทรัพย์บางส่วนก็อยู่ในภาคการเงินของอังกฤษ

 

·         นายกฯอังกฤษเรียกร้องประชาชนปฏิบัติตามกฎ Covid เลี่ยง Lockdown เต็มรูปแบบ

นายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ เรียกร้องให้ชาวอังกฤษปฏิบัติตามกฎข้อบังคับเพื่อหลีกเลี่ยงการใช้มาตรการคุมเข้มเต็มรูปแบบ ท่ามกลางจำนวนยอดผู้ติดเชื้อในประเทศที่เพิ่มสูงขึ้น

 

·         ตลาดที่อยู่อาศัยทั่วโลกเผชิญภาวะตึงตัวในปี 2021

ผลสำรวจจาก Reuters แสดงให้เห็นว่า ตลาดที่อยู่อาศัยหลักๆส่วนใหญ่ดูจะไม่ปรับตัวขึ้น คู่กับดัชนีราคาผู้บริโภคหรือเงินเฟ้อในปี 2021 โดยตลาดเผชิญปัจจัยเสี่ยงหลายอย่าง แม้ว่าจะมีการปรับตัวขึ้นได้ในปีนี้ ท่ามกลางวิกฤตไวรัสโคโรนา และการใช้อัตราดอกเบี้ยระดับต่ำ

ผลสำรวจระหว่าง 15-29 ก.ย. พบว่า ค่าเฉลี่ยราคาบ้านไม่กี่ประเทศที่ปรับตัวสูงขึ้นได้จากความต้องการที่เพิ่มขึ้น ภาพรวมยังปราศจากอุปทาน และน่าจะชะลอตัวในปีหน้า ซึ่งโดยส่วนใหญ่ก็มีมุมมองที่ดีขึ้นมากกว่าคาดการณ์ในเดือนมิ.ย.

 

·         ความเชื่อมั่นธุรกิจญี่ปุ่นพุ่งจากวิกฤตไวรัสโคโรนาเริ่มบรรเทา

ผลสำรวจของ BoJ ระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจญี่ปุ่นปรับตัวขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 3 หลังจากที่ลงไปทำต่ำสุดในรอบ 11 ปีในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี ส่งสัญญาณว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นมีการฟื้นตัวได้อย่างค่อยเป็นค่อยไปจากความเสียหายของไวรัสโคโรนา

ดัชนีความเชื่อมั่นดังกล่าวออกมาดีขึ้นที่ -27 จุดในเดือนก.ย. จากที่เคยทำต่ำสุดรอบ 11 ปีไว้ที่ -34 จุดในเดือนมิ.ย.

โดยข้อมูลดังกล่าวดูจะสนับสนุนความคาดหวังของ นายโยชิฮิเดะ  ซูงะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นในการผลักดันให้เศรษฐกิจก้าวออกจากวิกฤต และนำไปสู่การเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬา Olympic Games ที่กรุงโตเกียวได้

อย่างไรก็ดี กิจกรรมภาคการผลิตญี่ปุ่นยังหดตัว และแผนการใช้จ่ายของภาคบริษัทยังคงอ่อนแอนับตั้งแต่ปี 2009 ที่เกิดวิกฤตทางการเงินระดับโลก

 

·         ราคาน้ำมันดิบปรับเพิ่มขึ้นจากความหวังมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯ

ราคาน้ำมันดิบปรับขึ้นจากความหวังใหม่กับมาตรการสนับสนุนเศรษฐกิจของสหรัฐฯ แต่ความกังวลเกี่ยวกับการติดเชื้อไวรัสที่เพิ่มขึ้นก็ยังจำกัดความต้องการเชื้อเพลิง

น้ำมันดิบ WTI ปรับขึ้น 13 เซนต์ ที่ระดับ 40.35 เหรียญ/บาร์เรล ปรับตัวขึ้นจากเมื่อวาน 2.4%

น้ำมันดิบ Brent ปรับขึ้น 11 เซนต์ ที่ระดับ 42.41 เหรียญ/บาร์เรล หลังจากที่เมื่อคืนนี้ลดลง 0.2%

ฝ่ายบริหารของนายทรัมป์ ได้เสนอมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่มูลค่ากว่า 1.5 ล้านล้านเหรียญ


บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com