• สรุปข่าวราคาทองคำ (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 7 สิงหาคม 2563

    7 สิงหาคม 2563 | Gold News
 

ทองคำพุ่งขึ้นต่ออย่างรวดเร็วจากทิศทางเศรษฐกิจที่เปราะบาง

· ราคาทองคำยังคงปรับตัวขึ้นต่อเป็นลักษณะ Record-Breaking ทำสูงสุดประวัติการณ์ใหม่อย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางคาดการณ์ที่ว่าจะเห็นนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม ท่ามกลางยอดผู้ติดเชื้อไวรัสในสหรัฐฯที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยราคาทองคำตลาดโลกปรับขึ้นทำ All-Time High ที่ 2,069.21 เหรียญ ก่อนจะปิดตลาด +0.8% ที่ 2,055.87 เหรียญ ขณะที่เช้านี้ขึ้นต่อทำ New All Time High ที่ 2,075 เหรียญ


· สัญญาทองคำส่งมอบเดือนธ.ค. ปิด +1% ที่ 2,069.4 เหรียญ ขณะที่เช้านี้ทำสูงสุดใหม่ครั้งประวัติการณ์ที่ 2,088 เหรียญ


· หุ้นส่วนกรรมการบริหารของ CPM Group กล่าวว่า สัญญาณที่ผสมผสานกันของเศรษฐกิจสหรัฐฯที่บางส่วนมีการฟื้นตัวได้ดี แต่บางส่วนก็ฟื้นตัวได้ผิวเผิน และนั่นสะท้อนว่าภาคธุรกิจขนาดเล็กและกลางยังคงไม่สามารถฟื้นตัวได้เต็มที่ และอาจใช้เวลาค่อนข้างนานที่จะเห็นเศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง



· ข้อมูลผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ของสหรัฐฯแม้จะออกมาดีขึ้นในสัปดาห์ที่แล้ว แต่ภาพรวมชาวอเมริกาก็ยังคงมีการตกงานไม่น้อยกว่า 31.3 ล้านราย อันได้รับผลกระทบจากการระบาดรอบใหม่ของไวรัสโคโรนาที่คุกคามเศรษฐกิ


· ปีนี้ราคาทองคำปรับขึ้นได้แล้วกว่า 35% ขณะที่ตลาดส่วนใหญ่ยังคงรอคอยการหารือร่วมกันของผู้นำพรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกันที่ยังคงเดินหน้าเจรจาต่อสำหรับการเจรจารอบใหม่เพื่อช่วยเหลือเศรษฐกิจ


· สมาคมค้าทองคำแห่งประเทศไทย รายงานว่า ราคาขายปลีกทอง (ทองคำ 96.5%) ในประเทศระหว่างวันปรับตัวเพิ่มขึ้น 400 บาท โดยเป็นการอย่างต่อเนื่องสูงสุดเป็นประวัติการณ์ตามสถานการณ์ราคาทองในตลาดโลก ส่งผลให้ราคาทองแท่งขายออกทะลุบาททองคำละ30,000 ไปแล้ว

  

· ยอดผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาทั่วโลกล่าสุดทะลุ 19.2 ล้านราย ขณะที่ผู้เสียชีวิตทั่วโลกพุ่งสูงกว่า 716,548 ราย ด้านสหรัฐฯพบผู้ติดเชื้อสะสมสูงทะลุ 5 ล้านราย และเสียชีวิตพุ่งแตะ 162,804 ราย

· ราคาซิลเวอร์ปิด +4.6% ที่ 28.26 เหรียญ หลังไปทำสูงสุดรอบกว่า 7 ปีที่ 28.42 เหรียญ จากอุปสงค์การลงทุนและภาคอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้น

· ราคาแพลทินัมปิด +1.5% ที่ 981.53 เหรียญ และพลาเดียมปิด +1.6% ที่ 2,216.06 เหรียญ


· ทรัมป์ ลงนามคำสั่งการกลับมาขึ้นภาษีอลูมิเนียมของแคนาดา 10%

เมื่อวานนี้นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯมีการลงนามคำสั่งการขึ้นภาษีนำเข้าอลูมิเนียมสหรัฐฯอีก 10% เนื่องจากมีมุมมองว่าภาคธุรกิจอลูมิเนียมได้รับความเสียหายจากแคนาดาที่ไม่มีความยุติธรรมต่อชาวแรงงานสหรัฐฯ

ซึ่งการประกาศดังกล่าวรเกิดขึ้นภายใต้ข้อตกลงฉบับใหม่ระหว่างสหรัฐฯ-เม็กซิโก-แคนาดา หลังจากที่ข้อตกลง NAFTA หมดอายุไป


· ผู้ว่าการธนาคารกลางอังกฤษปฏิเสธมุมมองเชิงบวกต่อเศรษฐกิจ พร้อมกล่าวเตือนประเทศที่เหลืออาจยังไม่สดใส

ผู้ว่าการธนาคารกลางอังกฤษปฏิเสธถึงการชี้แนะแนวโน้มเศรษฐกิจเชิงบวกที่มากเกินไปของอังกฤษจากรายงานนโยบายการเงินล่าสุด ที่ยังมีการคงดอกเบี้ยและการเข้าซื้อสินทรัพย์ต่อไป พร้อมกับมีการปรับทบทวนการเติบโตระยะสั้นให้สูงขึ้น แต่ก็เตือนว่าการจะกลับมาฟื้นตัวได้อย่างเต็มรูปแบบนั้นอาจใช้เวลานานกว่าที่คาด

ทั้งนี้ ธนาคารกลางอังกฤษคาดว่าจีดีพีอังกฤษจะหดตัวปีนี้ที่ -9.5% ซึ่งดีขึ้นจากคาดการณ์เดิมเมื่อช่วงพ.ค. ที่อยู่ที่ -14% แต่มีการปรับคาดการณ์ปีหน้าที่คาดว่าจะเห็นเศรษฐกิจรีบาวน์ได้ที่ 9% จากคาดการณ์เดิมที่อยู่ที่ 15% และจะโด้เพียง 3.5%ในปี 2022

ภาพรวมเศรษฐกิจเผชิญกับ “X Factor” ที่เป็นผลพวงจากการระบาดของไวรัสโคโรนา ที่ส่งผลให้เกิดความไม่แน่นอนอย่างมาก ขณะที่ประเทศอื่นๆก็น่าเป็นกังวลต่อการระบาดรอบที่ 2


· ประธาน WHO ชี้ เศรษฐกิจโลกอาจฟื้นตัวได้เร็วขึ้นหากวัคซีน COVID-19 ประสบผลสำเร็จ


· OCBC ธนาคารรายใหญ่ของสิงคโปร์พบผลประกอบการดิ่งลง 40% อันได้รับผลกระทบจาก Loan-Loss เพราะเป็นผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโคโรนา และการชะลอตัวของกิจกรรมในกลุ่มผู้บริโภค ซึ่งผลประกอบการ Q2/2020ร่วงลงแตะ 730 ล้านสิงคโปร์ดอลลาร์ (533.31 ล้านเหรียญ) แต่ก็ออกมาดีกว่าที่คาดว่าจะเห็นผลประกอบการร่วงลงไป 980 ล้านสิงคโปร์ดอลลาร์ ขณะที่ภาพรวมดูจะออกมาดีขึ้นได้มากกว่าช่วงไตรมาสแรกประมาณ 5%

· นักบริหารเงิน คาดว่า วันนี้ค่าเงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบ 30.80 - 31.80 บาท/ดอลลาร์ โดยค่าเงินบาททยอยอ่อนค่าขึ้นมาและเริ่มทรงตัวอยู่ระดับนี้ ซึ่งการที่ค่าเงินบาทอ่อนค่า น่าจะมีผลจากแรงเข้าซื้อค่าเงินดอลลาร์ เพราะขณะนี้ค่าเงินดอลลาร์ยังอ่อนค่าเมื่อเทียบกับเงินสกุลหลักอื่นๆ

อย่างไรก็ดี มองว่าค่าเงินบาทคงไม่กลับไปหลุดระดับ 31 บาท/ดอลลาร์ หากไม่มีปัจจัยใหม่ที่เข้ามากดดัน แต่ยังต้องจับ ตาการนัดเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่จะมีขึ้นในวันที่ 15 ส.ค.นี้


· อ้างอิงจากสำนักข่าวอินโฟเควสท์

- ผู้อำนวยการ สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป (CPI) หรืออัตราเงินเฟ้อในเดือน ก.ค.63 อยู่ที่ -0.98% ปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ลดลง -1.57% ถือเป็นสัญญาณที่ดีที่เห็นการปรับตัวขึ้นของเงินเฟ้อต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 สอดคล้องกับการปรับตัวดีขึ้นของเครื่องชี้วัดด้านอุปสงค์ในประเทศ ทั้งการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม,ปริมาณการจำหน่ายปูนซีเมนต์, ดัชนีราคาผู้ผลิต, ปริมาณจำหน่ายรถยนต์ และรถจักรยานยนต์ ซึ่งปัจจัยด้านอุปสงค์ในประเทศ เป็นปัจจัยที่สำคัญของการที่เงินเฟ้อเดือนนี้ปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

- เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า ภาวะการส่งเสริมการลงทุนช่วง 6 เดือนแรกของปี 63 (ม.ค.-มิ.ย.) มียอดขอรับการส่งเสริมการลงทุนรวมทั้งสิ้น 754 โครงการ เพิ่มขึ้น 7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีจำนวน 703 โครงการ ขณะที่มีมูลค่าเงินลงทุนรวม 158,890 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 17% ซึ่งมีมูลค่ารวม 190,330 ล้านบาท เนื่องจากผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และช่วงเดียวกันของปี 62 มีโครงการขนาดใหญ่ด้านพลังงานไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงชีวมวล แต่มีแนวโน้มดีขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงไตรมาสแรกของปีนี้

- รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ภาวะดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยในเดือน ก.ค.63 ค่อนข้างทรงตัว โดยดัชนี SET Index ปิดที่ 1,328.53 จุด ลดลง 0.8% จากเดือนก่อนหน้าสาเหตุมาจากหลายปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นผู้ลงทุน ได้แก่ ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐและจีน ความกังวลการกลับมาแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาระลอกสอง อีกทั้งเป็นช่วงเวลาเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจ รวมถึงการประกาศผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในครึ่งแรกปีนี้ ทำให้ SET Index เคลื่อนไหวในกรอบแคบ


· อ้างอิงจากสำนักข่าวกรุงเทพธุรกิจ

- นายสแตนลีย์ คัง ประธานหอการค้าร่วมต่างประเทศในประเทศไทย (JFCCT) กล่าวว่า นักธุรกิจต่างชาติรอดูนโยบายรัฐมนตรีเศรษฐกิจชุดใหม่ ซึ่งปัญหาเศรษฐกิจไทยมีความท้าทายมาก เพราะได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกและไวรัสโคโรนา

โดยเศรษฐกิจไทยพึ่งการส่งออกและการท่องเที่ยวเป็นหลัก และการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจก็อาศัยเอสเอ็มอี แต่ขณะนี้ทั้ง 3 ส่วนได้รับผลกระทบอย่างหนัก ดังนี้

1.ด้านการส่งออก

2.ด้านการท่องเที่ยว

3.ปัญหาเอสเอ็มอี

- รายงานล่าสุดจากการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา หรือ อังค์ถัด (UNCTAD) ระบุว่า ไทยอาจเป็นประเทศได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจมากที่สุดประเทศหนึ่งจากการสูญเสียรายได้ภาคการท่องเที่ยว พร้อมประเมินสถานการณ์ที่ดีที่สุดว่า ไทยอาจสูญเสียรายได้ภาคการท่องเที่ยว 9% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) หรือราว 4.77 หมื่นล้านเหรียญ


อ่านข่าวอื่นๆเพิ่มเติมได้ที่: www.mtsgold.co.th

บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com