• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคค่ำ) ประจำวันที่ 24 กรกฎาคม 2563

    24 กรกฎาคม 2563 | Economic News

 · อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯปรับตัวลดลง ก่อนหน้าการประกาศข้อมูลภาคธุรกิจ

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯอายุ 10 ปีปรับตัวลงมาบริเวณ 0.5692% ขณะที่อัตราผลตอบแทนอายุ 30 ปี ปรับลง 1.2193%


· ตึงเครียดสหรัฐฯ-จีน หนุนเยนแข็งค่ารอบ 1 เดือน

ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง ขณะที่ค่าเงินเยนปรับแข็งค่าขึ้นในฐานะ Safe-Haven ทำระดับแข็งค่ามากที่สุดรอบ 1 เดือน ท่ามกลางตึงเครียดสหรัฐฯและจีนที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น หลังล่าสุดจีนประกาศปิดสถานกงสุลในเมืองเฉิงตูเพื่อตอบโต้ที่สหรัฐฯสั่งปิดสถานกงสุลจีนในรัฐเท็กซัส

ปริมาณการซื้อขายในตลาดเอเชียค่อนข้างเบาบางเนื่องจากเป็นวันหยุดของญี่ปุ่น ท่ามกลางความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นและทำให้เงินเยนแข็งค่ามาที่ 106.38 เยน/ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับแข็งค่ามากที่สุดตั้งแต่ช่วงปลายเดือนมิ.ย.

ค่าเงินหยวนอ่อนค่ามาที่ 7.0206 หยวน/ดอลาร์ ซึ่งเป็นระดับอ่อนค่าที่มากที่สุดในรอบ 2 เดือน

ค่าเงินวอนของเกาหลีใต้และค่าเงินไทยต่างก็ได้รับแรงกดดันจากประเด็นดังกล่าวเช่นกัน

ค่าเงินยูโรยังอยู่ในทิศทางแข็งค่า โดยตลาดยังรับกับการที่บรรดาผู้นำยุโรปเห็นพ้องแพ็คเกจช่วยเหลือเกี่ยวกับกรณีไวรัสโคโรนา

โดยสัปดาห์นี้ปรับขึ้น 1.5% ซึ่งเป็นสัปดาห์ที่ดีที่สุดตั้งแต่ปลายเดือนมิ.ย. และปรับแข็งค่าขึ้นได้ 3.3% ในเดือนนี้ ไปทำสูงสุดรอบ 21 เดือนบริเวณ 1.1601 ดอลลาร์/ยูโร

ค่าเงินปอนด์มีการปรับแข็งค่ามาที่ 1.2733 ดอลลาร์/ปอนด์

นอกจากความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน นักลงทุนยังให้ความสนใจกับข้อมูลดัชนีราคาผู้ผลิต (PMI) ของยุโรปและสหรัฐฯในวันนี้เพื่อประเมินถึงความคืบหน้าทางเศรษฐกิจ

อย่างไรก็ดี ประเด็นสำคัญที่ตลาดสนใจคือเรื่องแพ็คเกจช่วยเหลือทางการเงินของสหรัฐฯ โดยสิ้นเดือนนี้จะเป็นเส้นตายวันหมดอายุของแพ็คเกจช่วยเหลือคนว่างงาน



· บรรดานักเศรษฐศาสตร์มองว่า GDP ของจีนมีแนวโน้มฟื้นตัวกลับมาแตะระดับการเติบโต 2% ในปี 2020 นี้ได้

จากการสำรวจบรรดานักเศรษฐศาสตร์ มองว่า GDP ของจีนมีแนวโน้มฟื้นตัวกลับมาแตะระดับการเติบโต 2% ในปี 2020 ถึงแม้สัญญาณการฟื้นตัวจะช้าแต่มีการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องจากการตกต่ำในไตรมาสที่ 1 ของปีนี้

การเติบโตของ GDP ในไตรมาสปัจจุบันอาจสูงถึง 5.2% เมื่อเทียบกับปีก่อน และเป็นการขยายตัวมากกว่าในไตรมาสที่ 2 นี้ เป็นการสำรวจ 1 สัปดาห์หลังจากการประกาศ GDP ในไตรมาสที่ 2 ที่ดีกวว่าคาด

· จีนโต้กลับสั่งปิดสถานกงสุลสหรัฐฯในเมืองเฉิงตู

ในวันนี้ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของจีน ประกาศปิดสถานกงสุลสหรัฐฯในเมืองเฉิงตูเพื่อตอบโต้กลับกรณีที่วานนี้สหรัฐฯทำการตัดสินใจสั่งปิดสถานกงสุลจีน

หลังประกาศปิดดังกล่าว ทางรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศจีน ก็กล่าวให้สัมภาษณ์กับ CNBC โดยระบุว่า การตอบโต้ดังกล่าวขึ้นอยู่กับการดำเนินการของสหรัฐฯ และทางจีนขอเรียกร้องให้สหรัฐฯยกเลิกการตัดสินใจที่ผิดพลาดทั้งหมดที่เกี่ยวข้องในการรักษาความสัมพันธ์ของสองประเทศให้กลับสู่ภาวะปกติ

· วุฒิสภาสหรัฐฯเลื่อนแผนกระตุ้นเศรษฐกิจออกไปสัปดาห์หน้า

วุฒิสภาสหรัฐฯมีการเลื่อนการเปิดเผยแพ็คเกจช่วยเหลือไวรัสโคโรนาออกไปจนถึงสัปดาห์หน้า และถือเป็นสัญญาณที่อาจเห็นสหรัฐฯพลาดกำหนดเส้นตายในการมีมาตรการชุดใหม่มาช่วยเหลือคนว่างงานสหรัฐฯ

นายมิทช์ แมคคอนเนล ผู้นำเสียงข้างมากของวุฒิสภาสหรัฐฯ เผยว่า ทีมบริหารของนายทรัมป์มีการเรียกร้องขอเพิ่มเวลาในการทบทวนรายละเอียด แต่เราหวังว่าจะสามารถยื่นข้อเสนอได้ทันในช่วงต้นสัปดาห์หน้าตามข้อหลักๆในแพ็คเกจนี้

ทั้งนี้ กำหนดการเดิมคือการที่วุฒิสภาสหรัฐฯพรรครีพับลิกันจะเปิดเผยแผนในวันนี้ แต่อาจต้องมีการเจรจากับทางเดโมแครตต่อเพื่อให้ร่างกฎหมายนี้ผ่านมติทั้งสภาล่างและสภาสูง

ในช่วงสิ้นสัปดาห์นี้ สหรัฐฯจะมีการยุติการจ่ายเงินช่วยเหลือสวัสดิการคนว่างงานที่เพิ่มมาที่ 600 เหรียญ/สัปดาห์ ซึ่งเป็นมาตรการที่ได้รับการอนุมัติมาตั้งแต่เดือนมี.ค. ที่ผ่านมา


· สถานการณ์ไวรัสโคโรนาล่าสุด:

Ø  ยอดติดเชื้อสะสมทั่วโลกอยู่สูงกว่า 15.65 ล้านราย

Ø  ยอดเสียชีวิตสะสมทั่วโลกไม่น้อยกว่า 636,575

Ø  สหรัฐฯมียอดผู้ติดเชื้อสะสมรวมสูงกว่า 4.16 ล้านราย

Ø  สหรัฐฯมีผู้เสียชีวิตสะสมไม่น้อยกว่า 147,333 ราย


· HHS คาด อัตราการเสียชีวิตในสหรัฐฯจะลดลง

อ้างอิงจากข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขและสวัสดิการมนุษย์ ระบุว่า อัตราการเสียชีวิตจากการติดเชื้อไวรัสโคโรนาในสหรัฐฯ ควรที่จะลดลงในอีก 2-3 สัปดาห์ข้างหน้า ขณะที่ค่าเฉลี่ยการติดเชื้อใหม่ในช่วง 7 วันเริ่มที่จะปรับลดลงบ้าง


· ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์กชี้ คนอายุน้อยมีการติดเชื้อไวรัสโคโรนาในปัจจุบันเพิ่มขึ้น

ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ก กล่าวเมื่อวานนี้ว่า อัตราการติดเชื้อไวรัสโคโรนา พบว่าเป็นกลุ่มคนอายุน้อยเพิ่มมากขึ้นเพื่อเทียบกับภาพรวมกลุ่มอายุอื่นๆ แต่อัตราการติดเชื้อในนครนิวยอร์กก็ดูจะทรวงตัวหรือมีการปรับตัวลง ยกเว้นกลุ่มคนอายุระหว่าง 21 – 30 ปี


· WHO เตือนไม่อาจกลับเข้าสู่ภาวะปกติตามเดิมได้ ท่ามกลางอัตราผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนายังพุ่งสูงขึ้นใน 3 ประเทศ

องค์การอนามัยโลก หรือ WHO กล่าวเตือนว่ายังไม่มีแนวโน้มที่สถานการณ์จะกลับสู่ภาวะปกติได้ตามเดิม ท่ามกลางอัตราผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาในสหรัฐฯ และประเทศยากจน รวมทั้งประเทศที่กำลังพัฒนายังมีอัตราที่เพิ่มสูงขึ้น

โดยเกินกว่าครึ่งหนึ่งของผู้ติดเชื้อทั่งหมดทั่วโลกมาจากสหรัฐฯ, บราซิล และอินเดีย ซึ่งเป็น 3 ประเทศอันดับต้นของโลก

อย่างไรก็ดี ถึงแม้ว่าจำนวนยอดผู้ติดเชื้อใน 3 ประเทศเศรษฐกิจหลักจะอยู่ในระดับสูง แต่ก็ยังมีโอกาสที่สถานการณ์การระบาดจะถูกควบคุมได้


· สหรัฐตั้งราคาขายอ้างอิงสำหรับวัคซีนสำหรับป้องกันโคโรนาไวรัส ที่ระดับราคาเทียบเท่ากับวัคซีนป้องกันไข้หวัด

รัฐบาลสหรัฐตั้งราคาขายสำหรับวัคซีนสำหรับป้องกันโคโรนาไวรัส ที่อยู่ภายใต้ข้อตกลง 2 พันล้านเหรียญสหรัฐที่ทำกับบริษัท Pfizer และ BioNTech การตั้งราคาดังกล่าว มีแนวโน้มกดดันราคาผู้ผลิตรายอื่นให้ตั้งราคาเดียวกัน

ข้อตกลงดังกล่าวคือ เมื่อวัคซีนได้รับการรับรองแล้ว บริษัทต้องจัดวัคซีนให้มีเพียงพอกับชาวสหรัฐ 50 ล้านคน คิดเป็นราคา 40 เหรียญต่อคน ซึ่งมีต้นทุนเทียบเท่าต้นทุนวัคซีนป้องกันไข้หวัดต่อปีต่อคน และบริษัทต้องจัดให้สหรัฐเป็นรายแรก


· นายไมค์ ปอมเปโอ รมว.ต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าวแถลงว่า สหรัฐฯและประเทศพันธมิตร ต้องใช้วิธีการที่ชัดเจนแน่วแน่และสร้างสรรค์มากขึ้น เพื่อส่งไปยังพรรคคอมมิวนิสต์จีนเพื่อให้เปลี่ยนวิธีการดำเนินนโยบายของตัวเอง ถือเป็นภารกิจแห่งยุคสมัยของเรา

· อดีตทูตสหรัฐกล่าวว่า แถลงการณ์นายปอมเปโอที่โจมตีจีนอาจให้ผลลัพธ์ตรงกันข้าม

อดีตทูตสหรัฐกล่าวว่า แถลงการณ์ของนายปอมเปโอมีความพยายามทำให้ประชาชนจีนเกลียดชังพรรคคอมมิวนิสต์ แต่แถลงการณ์ดังกล่าวอาจจะให้ผลตรงกันข้าม ช่วยให้ประชาชนสนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์จีนมากยิ่งขึ้น

· โพลล์สำรวจจาก Reuters ระบุว่า เศรษฐกิจจีนขยายตัวได้ 2.2% ในปีนี้ ท่ามกลางความต้องการที่อ่อนแอและความตึงเครียดสหรัฐฯ-จีน

โพลล์สำรวจจากสำนักข่าว Reuters คาดว่า

เศรษฐกิจของจีนจะฟื้นตัวได้ 2.2% ในช่วงที่เหลือของปี โดยได้รับแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อชดเชยความเสียหายจากวิกฤตไวรัสโคโรนา แต่ความต้องการทั่วโลกที่อ่อนแอและความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ-จีน เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ

· กรรมาธิการคณะกรรมการเศรษฐกิจยุโรป กล่าวว่า จะเรียกเก็บเงินคืนจากประเทศสมาชิกในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2021

กรรมาธิการคณะกรรมการเศรษฐกิจยุโรป เปาโล เจนทิโลนี กล่าวว่า จะมีการเรียกเก็บเงินที่ถูกใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจตามที่ได้รับได้รับอนุมัติการบรรดาผู้นำของสหภาพยุโรปไปก่อนหน้า มองว่าจะเรียกเก็บในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2021

กล่าวเพิ่มเติมว่า จะมีการนำฐานรายได้ภาษีแหล่งใหม่ เช่น ภาษีดิจิทัล , ภาษีคาร์บอนไดออกไซด์ เพื่อช่วยใช้จ่ายหนี้ที่ก่อร่วมกันที่จะต้องในระหว่างปี 2026 ถึง 2056

และยังกล่าวต่อไปว่า หากยุโรปไม่สามารถจ่ายชำระหนี้ที่ก่อร่วมกันได้ แต่ละประเทศต้องหาวิธีชำระหนี้ด้วยแต่ละประเทศเอง

· นายบรูโน เลอ แมร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของฝรั่งเศส กล่าวว่า รัฐบาลสหรัฐฯจะต้องยกเลิกการเก็บภาษีศุลกากรสำหรับผลิตภัณฑ์ในยุโรป เช่น ไวน์ฝรั่งเศส

· ยอดค้าปลีกของอังกฤษประจำเดือนมิ.ย.เพิ่มขึ้นเกือบ 14%

ยอดค้าปลีกของอังกฤษเติบโตอย่างแข็งแกร่งมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ในเดือนมิ.ย. เมื่อร้านค้าที่ไม่จำเป็นในอังกฤษได้รับอนุญาตให้เปิดใหม่ในช่วงกลางเดือนที่ผ่านมา

โดยยอดค้าปลีกในเดือนมิ.ย.เพิ่มขึ้น 13.9% จากเดือนพ.ค.ซึ่งสูงกว่าการคาดการณ์การเติบโตเฉลี่ย 8% ในผลการสำรวจของนักเศรษฐศาสตร์สำนักข่าว Reuters

ขณะที่เมื่อเทียบกับเดือนมิ.ย.ปีที่แล้วยอดขายลดลง 1.6%

· เวียดนามดำเนินมาตรการที่เข้มงวดในการต่อสู้กับการระบาดของโคโรนาไวรัสมาตั้งแต่เริ่มระบาด และตอนนี้รายงานไม่มีผู้เสียชีวิตจากการระบาด

เวียดนามมีผู้ติดเชื้อทั้งสิ้น 412 รายและไม่มีรายงานผู้เสียชีวิตเพิ่มเติมทั้งๆที่ประเทศมีประชากรสูงถึง 95.5 ล้านคน ถึงแม้การตอบสนองในการจัดการจะไม่สมบูรณ์แบบ แต่ถือเป็นหนึ่งในประเทศในโลกที่ประสบความสำเร็จในการต่อสู้กับการระบาดของโคโรนาไวรัส

ปัจจัยของการประสบความสำเร็จ ได้แก่ การติดตามค้นหาผู้ติดเชื้อเชิงรุก, การตรวจคัดกรองผู้ติดเชื้อ และการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพจากรัฐบาล

ปัจจุบัน เวียดนามเกือบจะอยู่ในภาวะปกติ ที่ร้านค้าร้านอาหารและบาร์เปิดตามปกติ

· ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้น ท่ามกลางการอ่อนค่าของค่าเงินดอลลาร์ แต่ปริมาณความต้องการน้ำมันยังคงถูกจำกัด

ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้น ท่ามกลางการอ่อนค่าของค่าเงินดอลลาร์ ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นจากยอดผู้ติดเชื้อจากไวรัสโคโรนา และความตึงเครียดในสหรัฐฯ-จีนที่กดดันการเพิ่มขึ้นของราคาอยู่ก็ตาม
ด้านค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าต่ำสุดในรอบ 22 เดือนเมื่อเทียบกับสกลุเงินหลักส่วนใหญ่ โดยการอ่อนค่าของค่าเงินดอลลาณืช่วยกระตุ้นการซื้อสินค้าในกลุ่มค่าเงินดอลลาร์ เช่น น้ำมัน เนื่องจากราคาถูกลงสำหรับผู้ถือเงินสกุลอื่น

ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบ Brent ปรับตัวสูงขึ้น 6 เซนต์ หรือ 0.1% ที่ระดับ 43 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับขึ้น 1 เซนต์ ที่ระดับ 41.08

บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com