• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 20 กรกฎาคม 2563

    20 กรกฎาคม 2563 | Economic News

· ดอลลาร์อ่อนค่าลง ยูโรทรงตัวใกล้ระดับแข็งค่ามากสุดรอบ 4 เดือน ท่ามกลางผู้นำอียูเจรจากองทุนฟื้นฟูยูโรโซน

ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงในวันศุกร์ที่ผ่านมา โดยปรับอ่อนค่าลง 0.36% ที่ 95.93 จุด ขณะที่ค่าเงินยูโรที่มีการปรับแข็งค่าขึ้นใกล้ระดับสูงสุดรอบ 4 เดือน โดยปิดแข็งค่า 0.49% ที่ 1.144 ดอลลาร์/ยูโร หลังจากที่ทำสูงสุดไว้เมื่อคืนวันพุธที่ 1.145 ดอลลาร์/ยูโรที่เป็นระดับแข็งค่ามากที่สุดนับตั้งแต่เกิดวิกฤตโคโรนาที่กระทบตลาดการเงินเมื่อเดือนมี.ค.

ทั้งนี้ การปรับตัวของค่าเงินดังกล่าวเกิดขึ้นท่ามกลางบรรดาผู้นำอียูที่ร่วมประชุมถึงประเด็นการจัดตั้งกองทุนฟื้นฟูที่อ่านช่วยฟื้นเศรษฐกิจจากภาวะถดถอยที่เกิดขึ้นในเวลานี้

ในคืนวันศุกร์นายกรัฐมนตรีเชค เผย บรรดาผู้นำอียูต่างมีมุมมองต่อแผนเศรษฐกิจที่ยังคงมีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ขณะที่บรรดา 27 ผู้นำประเทศสมาชิกของอียูทำการเจรจาเพื่อบรรลุข้อตกลงปีงบประมาณ 2021-2027 ด้วยวงเงินที่สูงกว่า 1 ล้านล้านยูโร รวมทั้งการจัดตั้งกองทุนฟื้นฟูครั้งใหม่ด้วยวงเงินมูลค่า 7.5 แสนล้านยูโรเพื่อช่วยฟื้นคืนเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโคโรนา

นักวิเคราะห์การตลาดอาวุโสจาก Western Union Business Solutions กล่าวว่า หากการประชุมที่สิ้นสุดลงในวันเสาร์นำพามาซึ่งผลลัพธ์เชิงบวกก็มีโอกาสเห็นค่าเงินยูโรไปทำแข็งค่ามากที่สุดในปีนี้ เพราะหากมีความคืบหน้าใดๆ ก็มีโอกาสเห็นค่าเงินยูโร Break ระดับสำคัญทางเทคนิค 1.15 ดอลลาร์/ยูโร ซึ่งเป็นระดับที่ไม่ได้เห็นมานานตั้งแต่ก.พ. ปี 2019


· ประชุมอียูซัมมิท

Ø  อียูขยายเวลาประชุมต่อถึงวันอาทิตย์ โดยยังประสบภาวะ Deadlock ต่อแผนฟื้นฟูวิกฤต COVID-19

บรรดาผู้นำอียูล้มเหลวในการหาข้อตกลงกองทุนฟื้นฟูเศรษฐกิจในการประชุมตลอดช่วง 2 วันทำการ จึงมีการขยายเวลาการประชุมออกไปในวันอาทิตย์เพื่อพยายามหาข้อสรุปและจัดการกับความแตกต่างที่เกิดขึ้น

Ø  ขณะที่ประธานอีซีบี ชี้ อียูจำเป็นต้องเกิดข้อตกลงให้ได้โดยเร็วที่สุด  

Ø  ผลสรุปยังไม่เกิดข้อตกลงใดๆร่วมกันในการประชุมวาระนี้

ในท้ายที่สุด บรรดาผู้นำอียูก็ไม่สามารถหาข้อตกลงร่วมกันได้ หลังจากประชุมครบ 3 วันเสร็จสิ้นลง เนื่องด้วยผู้นำทางฝั่งตะวันออกของยุโณปไม่เห็นด้วยกับเงื่อนไขของการจัดตั้งกองทุน รวมทั้งผู้นำประเทศยุโรปทางตอนใต้คัดค้านข้อเรียกร้องจากกลุ่มสี่ตระหนี่ (Frugal Four) โดย ณ ขณะนี้เพิ่มเป็น 5 ประเทศ อันได้แก่ เนเธอร์แลนด์, ออสเตรีย, ฟินแลนด์, สวีเดน และเดนมาร์ก


· สถานการณ์ไวรัสโคโรนาที่น่าสนใจ:

 

จำนวนผู้ติดเชื้อทั่วโลกล่าสุดอยู่ที่ 14,640,059

จำนวนผู้เสียชีวิตทั่วโลกล่าสุดอยู่ที่ 608,853 ราย

ประเทศที่ติดเชื้อรวมทั้งสิ้น 213 ประเทศ

Ø  จำนวนผู้ติดเชื้อในสหรัฐฯอยู่ลำดับที่ 1 ของโลก ล่าสุดมีผู้ติดเชื้ออยู่ที่ 3,898,550 ราย และมีผู้เสียชีวิตเป็นอันดับที่ 1 ของโลกที่ระดับ 143,289 ราย

Ø  จำนวนผู้ติดเชื้อในบราซิลอยู่เป็นอันดับที่ 2 ของโลก โดยล่าสุดมีผู้ติดเชื้อที่ 2,099,896 ราย ขณะที่ผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 79,533 ราย

Ø  จำนวนผู้ติดเชื้อในอินเดียอยู่เป็นอันดับที่ ของโลก โดยล่าสุดมีผู้ติดเชื้อที่ 1,118,107 ราย  ขณะที่ผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 27,503 ราย

 

Ø  ผู้ว่าการรัฐโอไฮโอเตือนว่ารัฐฯของตนดำเนินการผิดทางอาจกลายเป็นเหมือนรัฐฟลอริดา ท่ามกลางยอดผู้ติดเชื้อที่เพิ่มสูงขึ้น หลังประชาชนยังไม่ยอมปฏิบัติตามข้อตกลงการสวมหน้ากากอนามัยเพื่อชะลอการระบาดในรัฐฯ

ขณะที่ยอดผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาของรัฐโอไฮโอที่อยู่โรงพยาบาลเวลานี้มีจำนวน 9,500 ราย นับตั้งแต่ที่มีการระบาดของไวรัส ขณะที่ผู้เสียชีวิตในรัฐมีมากถึง 3,174 ราย

 

Ø  ฮ่องกงกลับมา Lockdown จากยอดผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาที่ทำสูงสุดเป็นประวัติการณ์

ฮ่องกงมีการกลับมาใช้มาตรการคุมเข้มอีกครั้ง  โดยจะให้บางบริษัทกลับมาใช้มาตรการ Work From Home ในสัปดาห์นี้ หลังยอดผู้ติดเชื้อรายวันของฮ่องกงทำสูงสุดเป็นประวัติการณ์ สูงกว่า 100 รายภายในเวลา 24 ชั่วโมง ซึ่งเป็นระดับการเพิ่มขึ้นที่มากที่สุดตั้งแต่ช่วงปลายเดือนม.ค. และสถานการณ์ดังกล่าวค่อนข้างที่จะน่าเป็นห่วง และยังไม่มีสัญญาณที่จะจัดการให้อยู่ภายใต้การควบคุมได้

ฮ่องกงมีการกลับมาใช้มาตรการคุมเข้มอีกครั้ง โดยจะให้บางบริษัทกลับมาใช้มาตรการ Work From Home ในสัปดาห์นี้ หลังยอดผู้ติดเชื้อรายวันของฮ่องกงทำสูงสุดเป็นประวัติการณ์ สูงกว่า 100 รายภายในเวลา 24 ชั่วโมง ซึ่งเป็นระดับการเพิ่มขึ้นที่มากที่สุดตั้งแต่ช่วงปลายเดือนม.ค. และสถานการณ์ดังกล่าวค่อนข้างที่จะน่าเป็นห่วง และยังไม่มีสัญญาณที่จะจัดการให้อยู่ภายใต้การควบคุมได้


· ความขัดแย้งสหรัฐฯและจีนในทะเลจีนใต้ดูจะนำมาซึ่งปัญหาเชิงลึก

เอกอัครราชทูตจีนในประเทศมาเลเซีย กล่าวตำหนิสหรัฐฯที่ใช้อำนาจไม่ชอบธรรมในการรุกล้ำพื้นที่ประเทศเพื่อนบ้านในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จากกรณีตึงเครียดทะเลจีนใต้และกรณีเขตบริหารพิเศษฮ่องกง ซึ่งการกระทำของสหรัฐฯดูจะเป็นการทำลายอำนาจอธิปไตยของประเทศเพื่อนบ้าน อันเนื่องจากพฤติกรรมอันไม่สมควร เห็นแก่ตัว และน่ารังเกียจ


· JP Morgan กล่าวว่า กลุ่มผู้บริโภคจีนยังคงมีทิศทางเชิงบวก แม้ว่าข้อมูลยอดค้าปลีกจะออกมาน่าผิดวังก็ตาม

หัวหน้านักกลยุทธ์จาก JPMorgan Asset Management กล่าวว่า กำลังการเข้าซื้อของกลุ่มผู้บริโภคชาวจีนยังคงมีความแข็งแกร่ง แต่ความไม่แน่นอนของไวรัสโรนาที่ยังมีอยู่ก็อาจทำให้เกิดภาวะไม่แน่นอนได้บ้าง จึงทำให้เราเห็นข้อมูลค้าปลีกจีนที่ออกมาแย่กว่าที่คาด แต่มุมมองภาพรวมของกลุ่มผู้บริโภคชาวจีนก็ยังคงอยู่ในทิศทางที่สดใส


· น้ำมันดิบปรับอ่อนตัวลง จากยอดผู้ติดเชื้อไวรัสที่เพิ่มสูงขึ้น

ราคาน้ำมันดิบปิดปรับตัวลดลงในคืนวันศุกร์ อันเนื่องจากความวิตกกังวลในเรื่องวิกฤตไวรัสโคโรนาที่พบผู้ติดเชื้อยังคงเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง อาจกดดันอุปสงค์น้ำมันได้ ขณะที่กลุ่มผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ๆต่างก็พร้อมที่จะเพิ่มกำลังการผลิต

น้ำมันดิบ Brent ปิดปรับลง 23 เซนต์ ที่ 43.14 เหรียญ/บาร์เรล ด้านน้ำมันดิบ WTI ปรับลง 16 เซนต์ ที่ระดับ 40.59 เหรียญ/บาร์เรล

จำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสในสหรัฐฯเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 75,000 รายจากข้อมูลในคืนวันพฤหัสบดี ซึ่งถือเป็นยอดรายวันที่ยังคงปรับขึ้นสูงเป็นประวัติการณ์อย่างต่อเนื่อง ขณะที่ยอดผู้ติดเชื้อในสเปน และออสเตรเลียก็มีระดับการติดเชื้อที่เพิ่มสูงขึ้นมากที่สุดในรอบกว่า 2 เดือน เช่นเดียวกับอินเดียและบราซิล

อย่างไรก็ดี หลังจากที่นานาประเทศเริ่มมีการคลาย Lockdown ที่ผ่านมาก็ได้ส่งผลให้อุปสงค์น้ำมันทั่วโลกปรับตัวขึ้นได้จากที่ร่วงลงไป -30% ในเดือนเม.ย. แต่ภาพรวมการอุปโภคบริโภคก็ยังคงต่ำกว่าช่วงก่อนเกิดการระบาดของไวรัสโคโรนา และการฟื้นตัวในเวลานี้ก็อาจดิ่งลงอีกครั้งจากจำนวนผู้ติดเชื้อที่กลับมาเพิ่มขึ้นอีกครั้ง

บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com