• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 17 กรกฎาคม 2563

    17 กรกฎาคม 2563 | Economic News

· ดอลลาร์อ่อนค่าหลังทราบยอดค้าปลีก

ค่าเงินดอลลาร์ที่อยู่ในฐานะ Safe-Haven เวลานี้ปรับอ่อนค่าลงหลังทราบข้อมูลยอดค้าปลีกสหรัฐฯในเดือนมิ.ย.ที่ออกมาดีเกินคาด และปรับขึ้นเป็นเดือนที่ 2 แม้ว่าการเคลื่อนไหวจะเป็นไปอย่างจำกัด เนื่องดด้วยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานออกมาแย่กว่า 1.3 ล้านรายในสัปดาห์ก่อน และตลาดหุ้นสหรัฐฯปรับตัวลง

ดัชนีดอลลาร์ปิด -0.07% ที่ 95.94 จุด ด้านยูโรปรับแข็งค่าขึ้น 0.1% ที่ 1.142 ดอลลาร์/ยูโร หลังทราบผลประชุมอีซีบี


· อีซีบีเลือกใช้กลยุทธ์ Wait&See คงดอกเบี้ย และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจตามเดิม

อีซีบีมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายและวงเงินในการซื้อพันธบัตรในการประชุมวันนี้ โดยยังเน้นจับตาเศรษฐกิจในภูมิภาคที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา

โดยที่ประชุมมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ และคงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์ฝากไว้กับอีซีบีที่ระดับ -0.50% ขณะที่คงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ระดับ 0.25%

นอกจากนี้ อีซีบีมีมติคงวงเงินในการซื้อพันธบัตรตามโครงการ Pandemic Emergency Purchase Programme (PEPP) ที่ระดับ 1.35 ล้านล้านยูโร โดยจะซื้อพันธบัตรตามโครงการดังกล่าวจนถึงเดือนมิ.ย. ปีหน้า

· เฟดมีการเข้าซื้อพันธบัตรและสินทรัพย์อื่นๆเพิ่มมากขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบเกือบเดือน ถึงแม้ว่าเงินวงเงินปล้อยกู้ จะไม่ค่อยได้ใช้ กับเงินช่วยรอบใหม่ก็เริ่มค่อนข้างช้าสำหรับการหนุนภาคธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลางที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโคโรนา

ข้อมูลเมื่อ 15 ก.ค. พบว่า จำนวนยอดรวมของ Balance Sheet ปรับขึ้นแตะ 7.01 ล้านล้านเหรียญ เมื่อเทียบกับช่วงสัปดาห์ก่อนที่ 6.97 ล้านล้านเหรียญ ซึ่งถือเป็นการเข้าซื้อพันธบัตรและตราสารหนี้ที่มากที่สุดของเฟดเพื่อสนับสนุนสภาพคล่องและเงื่อนไขทางตลาดการเงินให้ดำเนินไปโดยง่ายขณะเดียวกันเฟดมีการซื้อ Mortgage Bonds (MBS) 2.27 หมื่นล้านเหรียญ แต่ยังไม่มีการขายออกมา


· ประธานเฟดนิวยอร์ก ชี้ การพาเศรษฐกิจก้าวออกจากภาวะขาลงเชิงลึกอาจใช้เวลานาน

นายจอห์น วิลเลียม ประธานเฟดสาขานิวยอร์ก กล่าว่า อาจใช้เวลา 2-3 ปี สำหรับฟื้นคืนเศรษฐกิจที่ได้รับความเสียหายจากวิกฤตไวรัสโคโรนา ดังนั้น เวลานี้ยังไม่ใช่เวลาที่ทำให้ต้องคำนึงเรื่องการปรับขึ้นดอกเบี้ย หรือการกลับเข้าสู่ภาวะปกติได้โดยดี เพราะถึงแม้เศรษฐกิจสหรัฐฯช่วงครึ่งปีหลังนี้จะเห็นสัญญาณการฟื้นตัวแต่ก็ดูจะใช้เวลาที่ค่อนข้างยาวนานที่จะก้าวออกจากสภาวะนี้ได้


· ประธานเฟดชิคาโก ระบุว่ามีเหตุผลเล็กน้อยมากที่จะทำให้เฟดต้องขึ้นดอกเบี้ย

นายชาร์ล อีวานส์ ประธานเฟดสาขาชิคโก กล่าวว่า มีเหตุผลเพียงน้อยนิดที่จะทำให้เฟดต้องขึ้นดอกเบี้ย จนกว่าจะเห็นเงินเฟ้อปรับขึ้นได้เหนือ 2% และคาดว่าเงินเฟ้อที่อยู่ระดับต่ำจะเป็นปัญหาต่อไปในช่วง 2-3 ปี

ทั้งนี้ เขาคาดว่าอัตราว่างงานจะลดลงมาที่ 6.5% ได้ประมาณช่วงสิ้นปีหน้า ซึ่งภาพรวมก็ยังสูงกว่าเป้าหมายที่เฟดพิจารณาไว้ที่ 4.5% ขณะที่หากการว่างงานลดต่ำกว่า 4% ก็ดูเหมือนเงินเฟ้อจะไม่ได้ตอบสนองมากนัก


· สถานการณ์ไวรัสโคโรนา:

รัฐบาลของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯฯ จะเข้าควบคุมข้อมูลผู้ป่วยไวรัสโคโรนา ที่รวบรวมจากโรงพยาบาลทั่วประเทศ แทนศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค หรือ CDC ส่งผลให้ผู้เชี่ยวชาญเกิดความวิตกกังวลว่า ข้อมูลดังกล่าวจะถูกนำไปใช้แสวงประโยชน์ทางการเมือง

ขณะที่รัฐบาลสหรัฐฯ อ้างว่า ระบบรวบรวมข้อมูลใหม่ที่มีความรวดเร็วและสมบูรณ์ครบถ้วน ซึ่งถือเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมากในการต่อสู้กับไวรัสโคโรนา และ CDC ที่เป็นส่วนหนึ่งของกระทรวงบริการสุขภาพและมนุษย์ ก็จะยังมีส่วนร่วมในปฏิบัติการรับมือไวรัสดังกล่าวของรัฐบาล เพียงแต่ไม่ได้ควบคุมข้อมูลอีกต่อไป


· ดร.แอนโธนี ฟาวซี ที่ปรึกษาด้านสาธารณสุขประจำทำเนียบขาว เรียกร้องให้กลุ่มคนวัยรุ่นที่ไม่ยอมปฏิบัติข้อควรปฏิบัติในเวลานี้ อาจนำมาซึ่งการแพร่กระจายของโรคระบาดได้


· ผู้ว่าการธนาคารกลางจีนเรียกร้องให้ไอเอ็มเอสทำการเปิดกว้างต่อการอัดฉีดเม็ดเงินในการต่อสู้กับไวรัสโคโรนา ด้วยเม็ดเงินนับแสนล้านเหรียญเพื่ออัดฉีดให้กับ 189 ประเทศ ผ่านโครงการ SDRs แม้ว่าจะถูกคัดค้านจากทางสหรัฐฯในเวลานี้ก็ตาม


· จีนตำหนิสหรัฐฯในการตอบโต้กฎหมายฮ่องกงด้วยการใช้วิธีคิดแบบตรรกะนักเลง (Gangster Logic) หลังประธานาธิบดีสหรัฐฯมีการลงนามคำสั่งยกเลิกสถานะพิเศษฮ่องกง


· ราคาน้ำมันดิบร่วงลง 1% หลังโอเปกพลัสตกลงที่จะปรับลดอุปทาน

ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลง หลังจากที่โอเปกและประเทศพันธมิตรอย่างรัสเซียจะเห็นพ้องกันในการชะลอการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันที่มากที่สุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่เดือนส.ค แม้ว่าการร่วงลงในครั้งจะเป็นการร่วงลงอย่างจำกัด จากอุปสงค์น้ำมันในสหรัฐฯที่เพิ่มขึ้น

โดยราคาน้ำมันดิบ Brent ลดลง 45 เซนต์ หรือคิดเป็น 1% ที่ระดับ 43.35 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ WTI ลดลง 45 เซนต์ หรือคิดเป็น 1.09% ที่ระดับ 40.75 เหรียญ/บาร์เรล

ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบทั้งสองชนิดปรับตัวสูงขึ้นได้ 2% ในช่วงก่อนหน้านี้ หลังจากสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯปรับลดลง


บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com