• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 15 กรกฎาคม 2563

    15 กรกฎาคม 2563 | Economic News

· ดอลลาร์อ่อนค่าลงจากยูโรแข็งค่า หุ้นสหรัฐฯปรับขึ้น

ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง ท่ามกลางค่าเงินยูโรที่แข็งค่าขึ้นจากมุมมองเชิงบวกเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่อียูจะใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯปรับตัวสูงขึ้น

ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งมีบทบาทเป็น Safe-Haven เวลานี้ โดยดัชนีดอลลาร์วานนี้อ่อนค่าลง 0.31% ที่ 96.265 จุด ขณะที่ค่าเงินยูโรตอบรับความหวังที่จะเห็นอียูเห็นพ้องกันต่อแพ็คเกจการช่วยเหลือทางการเงินเพื่อจำกัดผลเสียทางเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโคโรนา โดยยูโรแข็งค่าขึ้น 0.47% ที่ 1.139 ดอลลาร์/ยูโร

การอนุมัติกองทุนฟื้นฟูของอียูอาจทำให้ค่าเงินยูโรกลับทดสอบ 1.150 ดอลลาร์/ยูโรได้ และมีโอกาสเห็นค่าเงินไปทดสอบแนวต้านบริเวณ 1.180 ดอลลาร์/ยูโร


· ค่าเงินหยวนอาจอ่อนค่าไปแถว 7.20 – 7.30 หยวน/ดอลลาร์ได้ในช่วงครึ่งหลังของปี

นักกลยุทธ์จาก Societe Generale คาดว่าเงินหยวนมีโอกาสอ่อนค่าขึ้นไปแถวระดับดังกล่าวจากปัญหาข้อพิพาททางการค้า, และความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นทั่วโลก ที่จะเป็นปัจจัยกดดันไม่ให้หยวนแข็งค่าได้


· เจ้าหน้าที่เฟดหลายรายเตือนเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจ พร้อมกังวลเกี่ยวกับการฟื้นตัวมากขึ้น

รายงานจา Reuters กล่าวอ้างถึงคำเตือนของบรรดาสมาชิกเฟดที่ว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯน่าจะฟื้นตัวได้ช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ ท่ามกลางการระบาดของไวรัสโคโรนาที่เพิ่มมากขึ้น รวมทั้งการมาของ Second Wave ที่อาจสร้างความเจ็บปวดให้แก่เศรษฐกิจมากขึ้นอีกครั้ง

ซึ่งเจ้าหน้าที่เฟดมีท่าทีกังวลต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ อันรวมไปถึงภาวะภาคแรงงานที่น่าเป็นห่วงมากขึ้น

นางลาเอล เบรนาร์ด หนึ่งในเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารของเฟด กล่าวว่า การระบาดของไวรัสโคโรนายังถือเป็นปัจจัยสำคัญต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจและยังมีความไม่แน่นอนอยู่อย่างมาก รวมทั้งความเสี่ยงต่อภาวะขาลงที่ยังมีอยู่ ดังนั้น เธอจึงเรียกร้องให้เฟดควรเดินหน้าผ่อนคลายทางการเงินต่อไปทั้งเรื่องการเข้าซื้อพันธบัตร และการเพิ่มมาตรการทางการเงินเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะแพ็คเกจชุดแรกที่จะหมดอายุในเร็วๆนี้


· ประธานเฟดดัลลัส ชี้ เศรษฐกิจน่าจะกลับมาโตได้อีกครั้งในปี 2021

นายโรเบิร์ต เคพแลนด์ ประธานเฟดสาขาดัลลัส ระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯน่าจะปรับตัวขึ้นได้อย่างรวดเร็วในปีหน้าท่ามกลางการรีบาวน์จากที่เผชิญวิกฤตไวรัสโคโรนา โดยในปี 2021 คาดจะกลับมาโตได้เหนือเส้นแดนบวก พร้อมๆกับอัตราว่างงานที่คาดจะปรับตัวลดลง ซึ่งการเติบโตทางเศรษฐกิจน่าจะค่อยๆฟื้นตัวได้หลังจากที่ดิ่งลงไปในไตรมาสที่ 2/2020

อย่างไรก็ดี การที่เศรษฐกิจจะกลับสู่ภาวะปกติได้นั้นจะต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของไวรัสโคโรนา และความคืบหน้าเรื่องวัคซีน


· ประธานเฟดฟิลาเดเฟีย ระบุว่าเศรษฐกิจจะเข้าสู่ขาลงและใช้เวลานาน

นายแพทริค ฮาเกอร์ ประธานเฟดสาขาฟิลาเดเฟีย กล่าวว่า การระบาดของไวรัสโคโรนาในสหรัฐฯ ทำให้เศรษฐกิจยังไม่สดใส และบรรดาผู้กำหนดนโยบายต่างจำเป็นต้อหาแนวทางแก้ไขเพื่อมาช่วยพยุงการชะลอตัวในภาคธุรกิจขนาดเล็ก เพราะถึงแม้เศรษฐกิจจะกลับมาเริ่มเปิดทำการได้บ้าง แต่ผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโคโรนาก็ไม่ได้ลดน้อยลงไป และทำให้ภาวะเศรษฐกิจดูจะเป็นขาลงที่ค่อนข้างยาวนาน

ขณะที่โปรแกรม PPP ที่มีการช่วยเหลือด้านสินเชื่อแก่ธุรกิจขนาดเล็กอาจกลายเป็นการช่วยเหลือครั้งใหญ่แก่ภาคธุรกิจนับล้านแห่ง แต่ภาพรวมเครื่องมือดังกล่าวก็ดูจะไม่เพียงพอต่อการช่วยเหลือเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตในเวลานี้


· ค่าเฉลี่ยยอดผู้ติดเชื้อใหม่ในสหรัฐฯจำนวน 7 วันทะลุ 60,000 รายเป็นครั้งแรก

CNBC เผยรายงานเครื่องมือวิเคราะห์ของ Johns Hopkins University โดยระบุว่า เป็นครั้งแรกที่สหรัฐฯมียอดผู้ติดเชื้อใหม่ทะลุกว่า 60,000 รายไปเมื่อววันจันทร์ที่ผ่านมา และทำให้ค่าเฉลี่ยช่วง 7 วันทำการสูงเทียบเท่าระดับดังกล่าว

ซึ่งจากจำนวนรัฐกว่า 3 ส่วนของประเทศสหรัฐฯ พบจำนวนผู้ติดเชื้อรายวันเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง นำโดยรัฐฟลอริดา และจอร์เจียที่เมื่อวันจันทร์ยืนได้เหนือค่าเฉลี่ย 10,855 ราย และ 3,358 รายตามลำดับ


จำนวนสถานพยาบาลในรัฐเท็กซัสพบผู้ติดเชื้อมากขึ้นกว่า 31% และภาพรวมรัฐเท็กซัสก็ยังถือเป็นประเทศที่มีค่าเฉลี่ยการติดเชื้อรายวันและยอดผู้เสียชีวิตรายวันยังอยู่ในระดับสูง


· หุ้นบริษัทยา Moderna พุ่งกว่า 16% หลังบริษัทเผยการทดสอบวัคซีนสามารถสร้างภูมิคุ้มกันไวรัสได้

หุ้นบริษัท Moderna ปรับขึ้นกว่า 16% ตอบรับข่าวการเผยผลทดสอบวัคซีนต้านไวรัสโคโรนาของบริษัทที่สามารถสร้างการตอบสนองด้านภูมิคุ้มกันได้อย่าง "แข็งแกร่ง"

ทั้งนี้ ผลการทดลองขั้นต้นในการใช้วัคซีนกับผู้ป่วย 45 คนพบว่า ผู้ป่วยทั้งหมดมีการตอบสนองด้านภูมิคุ้มกันในระดับที่แข็งแกร่ง โดยผู้ป่วยทั้ง 45 คนสามารถผลิตแอนติบอดีที่เป็นกลาง ซึ่งเป็นสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่ามีความสำคัญต่อการสร้างภูมิคุ้มกัน และได้ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์มากขึ้นว่า วัคซีนอาจสามารถป้องกันไวรัสโคโรนาได้ในระดับหนึ่ง


· CDC ชี้ สหรัฐฯอาจควบคุมสถานการณ์ไวรัสโคโรนาได้ในช่วง 1-2 เดือนหากทุกคนร่วมมือกันสวมใส่หน้ากากอนามัย ซึ่งหากประชาชนทุกคนร่วมมือกันก็อาจใช้เวลาประมาณ 4, 6 หรือ 8 สัปดาห์ที่จะทำให้สหรัฐฯควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดได้


· สหรัฐฯคว่ำบาตรเจ้าหน้าที่จีนที่อ้างสิทธิ์เหนือทะเลจีนใต้อย่างผิดกฎหมาย

นายเดวิด สติลเวลล์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ เตือนจีนให้เตรียมพร้อมรับการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ ทั้งเจ้าหน้าที่รัฐบาลและภาคธุรกิจของจีน จากกรณีความพยายามขยายอิทธิพลในทะเลจีนใต้ โดยรัฐบาลสหรัฐฯมีการประกาศจุดยืนพร้อมต่อต้านเต็มที่ ขณะที่ จีนออกแถลงการณ์ตอบโต้ โดยระบุว่า สหรัฐฯไม่มีสิทธิ์มายุ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อพิพาทในภูมิภาคนี้

อย่างไรก็ดี คำเตือนจากเจ้าหน้าที่ทางการทูตระดับสูงดังกล่าวมีขึ้นหลังจากที่สหรัฐฯทำการปฏิเสธจีนไปเมื่อวันจันทร์ ต่อการที่จีนเรียกร้องสิทธิ์ครอบครองทรัพยากรต่างๆ ในพื้นที่ทะเลจีนใต้ และเรียกความพยายามดังกล่าวว่าเป็นสิ่งที่ “ผิดกฎหมายอย่างสิ้นเชิง” และคำกล่าวหาดังกล่าวจีนก็ไม่ยอมรับเช่นเดียวกัน


· ทรัมป์ลงนามกฎหมายคว่ำบาตรจีนตอบโต้แทรกแซงฮ่องกง

นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ทำการลงนามคำสั่งพิเศษเพื่อยุติการปฏิบัติที่เป็นพิเศษต่อเขตบริหารพิเศษฮ่องกงแล้ว โดยที่ฮ่องกงจะถูกปฏิบัติแบบเดียวกับจีน โดยไม่ได้รับสิทธิพิเศษใดๆ ไม่มีการปฏิบัติพิเศษทางด้านเศรษฐกิจ รวมทั้งไม่มีการส่งออกด้านเทคโนโลยีประเภท Sensitivie Technologies อีกต่อไป อันหมายรวมถึงฮ่องกงจะโดนเรียกเก็บภาษีจำนวนมหาศาเช่นเดียวกับที่สหรัฐฯมีการเรียกเก็บภาษีจากจีน


· นายโจ ไบเดน เผยแผนโครงสร้างพื้นฐานและภาคแรงงานกว่า 2 ล้านล้านเหรียญ

นายโจ ไบเดน ตัวแทนผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯในศึกการเลือกตั้งพ.ย.นี้ ทำการหาเสียงด้วยการเปิดเผยแผนการปฏิรูปโครงสร้างพื้นฐาน และพลังงานเพื่อควบคุมการเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศและยังเป็นการเข้ากระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจด้วย

พร้อมกันนี้ เขายังมีความตั้งใจว่าจะช่วยสร้างตำแหน่งงานให้แก่ประชาชนนับล้านคน และมีการจ่ายค่าแรงขั้นต่ำ 15 เหรียญ/ชั่วโมง พร้อมๆกับการปรับปรุงถนนหนทาง, สะพาน, เส้นทางเดือนรถไฟ, กลุ่มอุตสาหกรรมและระบบต่างๆของสหรัฐฯด้วย โดยคาดจะใช้วงเงินในการดำเนินการทั้งหมด 2 ล้านล้านเหรียญภายในระยะเวลา 4 ปี


· กลุ่มผู้ผลิตญี่ปุ่นอยู่ในสภาวะยย่ำแย่มากที่สุดรอบ 11 ปีจากการระบาดของไวรัสส่งผลลบต่ออุปสงค์ทั่วโลก

บรรดากลุ่มผู้ผลิตของญี่ปุ่นยังคงได้รับผลกระทบและอยู่ในสภาวะย่ำแย่มากที่สุดในรอบ 11 ปี จากอุปสงค์ทั่วโลกที่ลดน้อยลง อันเนื่องจากการะรบาดของไวรัสที่เป็นอุปสรรคต่อการส่งออกของประเทศ

โดยผลสำรวจความเชื่อมั่นภาคธุรกิจยังคงอยู่ในระดับติดลบที่ -44 จุดในเดือนก.ค. ไม่ได้ห่างจากเดือนก่อนหน้าที่ทำไว้ -46 จุด ที่ถือเป็นต่ำสุดตั้งแต่มิ.ย. ปี 2009

อย่างไรก็ดี บางบริษัทก็ยังเชื่อว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นจะค่อยๆทุเลาลงไปในอีก 2-3 เดือนข้างหน้า


· บีโอเจเล็งคงนโยบาย แต่พร้อมที่จะผ่อนคลายเพิ่มเติมหากเกิด Second wave

บีโอเจมีแนวโน้มที่จะชะลอมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ หลังจากที่เศรษฐกิจได้รับความเสียหายจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา แต่คาดว่าจะสร้างความมั่นใจให้กับตลาดว่าจะเลือกเพิ่มการกระตุ้นเศรษฐกิจอีกครั้งหากได้รับผลกระทบจาก Second Wave

ขณะที่สภาพตลาดและค่าใช้จ่ายด้านการเงินทุนมีการปรับตัวสูงขึ้นทำให้บีโอเจยังคงยึดถือมุมมองที่ว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นจะฟื้นตัวได้ในระดับปานกลางในช่วงปลายปีนี้ แต่แนวโน้มดังกล่าวก็อาจถูกปรับทบทวนมุมมองอีกครั้ง หากยอดผู้ติดเชื้อยังเพิ่มขึ้นและการส่งออกมีความอ่อนตัว

ทั้งนี้ การประชุมครั้งต่อไปจะเกิดในช่วงเดือนก.ย.


· ราคาน้ำมันดิบปรับสูงขึ้นเล็กน้อย ก่อนหน้าการประชุมโอเปกพลัส

ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นได้เล็กน้อย เนื่องจากกลุ่มโอเปกและโอเปกพลัสได้ทำข้อตกลงการปรับลดกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นในเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา แม้ว่าจะเกิดความกังวลมากขึ้นในเรื่องอุปสงค์จากกรณีของการแพร่ระบาดไวรัสโคโรนาที่เพิ่มสูงขึ้นในสหรัฐฯก็ตาม

ราคาน้ำมันดิบ Brent เพิ่มขึ้น 18 เซนต์ หรือคิดเป็น +0.42% ที่ระดับ 42.90 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ WTI เพิ่มขึ้น 19 เซนต์ หรือคิดเป็น +0.47% ที่ระดับ 40.29 เหรียญ/บาร์เรล.

ทั้งนี้ แหล่งข่าว เผยว่า กลุ่มโอเปกและโอเปกพลัสสามารถปฏิบัติตามข้อตกลงปรับลดการผลิตได้ 107% ในเดือนมิ.ย. ขณะที่นักลงทุนจับตารายงานสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐฯซึ่งมีกำหนดเปิดเผยในวันนี้

ตลาดจับตาผลการประชุมคณะกรรมการตรวจสอบการปฏิบัติตามข้อตกลงปรับลดกำลังการผลิต (JMMC) ของกลุ่มประเทศโอเปกพลัสในวันนี้ โดยที่ประชุมจะมีการหารือกันเกี่ยวกับข้อตกลงปรับลดกำลังการผลิตน้ำมัน ซึ่งมีกำหนดสิ้นสุดภายในสิ้นเดือนนี้

โดยอาจมีการขยายเวลาข้อตกลงปรับลดกำลังการผลิตน้ำมัน 9.7 ล้านบาร์เรล/วัน เป็น 7.7 ล้านบาร์เรล/วัน ตั้งแต่เดือนส.ค.ถึงธ.ค.

บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com