• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 2 กรกฎาคม 2563

    2 กรกฎาคม 2563 | Economic News

· ดอลลาร์อ่อนค่าลง ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯจำกัดความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัย

ดอลลาร์อ่อนค่าลงท่ามกลางปริมาณการซื้อขายปานกลาง และตลาดมีความต้องการสินทรัพย์เสี่ยงเพิ่มขึ้นหลังข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯออกมาดีขึ้น รวมทั้งข้อมูลเศรษฐกิจจากทางยุโรปด้วย

ทั้งนี้ ตลาดแลกเปลี่ยนสกุลเงินต่างๆไม่ได้เคลื่อนไหวมากนัก เนื่องด้วยการฟื้นตัวทางเศรษฐฺกิจโลกจะยังมีอุปสรรคจากการระบาดของไวรัสโคโรนาอยู่หลังพบจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นของสหรัฐฯ ที่ส่งผลให้บางรัฐต้องมีการกลับมา Lockdownเศรษฐกิจอีกครั้งง

นอกจากนี้ ดอลลาร์ยังตอบรับกับข้อมูลของ ADP เกี่ยวกับการจ้างงานภาคเอกชนที่เพิ่มขึ้น 2.369 ล้านตำแหน่งในเดือนที่แล้ว และมีการปรับทบทวนข้อมูลเดือนพ.ค. มาที่ 3.065 ล้านตำแหน่ง โดยดอลลาร์ดูจะอ่อนตัวตามทิศทางความต้องการSafe-Haven หลังจากที่ ISM เผยข้อมูลภาคการผลิตออกมาขยายตัวได้ในเดือนมิ.ย.

ด้าน IHS Markit ที่เผยข้อมูลภาคการผลิตขั้นต้นของยูโรโซน หรือดัชนี PMI พบว่าเคลื่อนไหวใกล้ระดับ 50 จุดในแดนขยายตัวในเดือนมิ.ย. ทางด้านข้อมูลภาคการผลิตของเยอรมนีมีการลดอัตราการหดตัวลงไปหลังคลาย Lockdown

ดัชนีดอลลาร์อ่อนค่าลง 0.3% ที่ 97.145 จุด ด้านเงินเยนอ่อนค่า 0.5% ไปที่ 107.42 เยน/ดอลลาร์ ตามทิศทาง Safe-Haven เช่นกัน แต่ยูโรแข็งค่าขึ้น 0.3% ที่ 1.1258 ดอลลาร์/ยูโร หลังจากที่ฟื้นตัวได้กว่า 6% เมื่อเทียบดอลลาร์ ในช่วงเดือนพ.ค. – ต้นเดือนมิ.ย.


· ข้อมูลภาคแรงงานสหรัฐฯมิ.ย. อาจแสดงให้เห็นถึงการจ้างงานที่แข็งแกร่งก่อนเกิดการระบาดรอบล่าสุด


นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่คาดว่าการจ้างงานในเดือนมิ.ย. อาจเพิ่มขึ้นได้มากถึง 3 ล้านตำแหน่ง จากการที่กลุ่มบริษัทกลับมาเปิดทำการหลังเผชิญภาวะ Shutdown

อย่างไรก็ดี การประกาศข้อมูลในคืนนี้ก็ยังคงมีความไม่แน่นอนอยู่มาก หลังจากที่ในเดือนพ.ค. ช่วงแรกนักเศรษฐศาสตร์คาดไว้ว่าจะเห็นจ้างงานหดตัว 8 ล้านตำแหน่ง แต่ข้อมูลจริงออกมามีการจ้างงานเพิ่มมากถึง 2.5 ล้านตำแหน่งแทน

หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จาก Barclays มองว่า การจ้างงานในเวลานี้น่าจะมีมากขึ้น แต่ความแข็งแกร่งหรือความอ่อนแอของข้อมูลดังกล่าวก็ดูจะเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้เกิดการหารือกันในสภาคองเกรสช่วงปลายเดือนนี้ว่าจะขยายสิทธิประโยชน์ต่อกลุ่มคนว่างงานอย่างไร เนื่องจากสิทธิพิเศษจะหมดอายุลงในสิ้นเดือนก.ค.นี้ หลังจากที่มีการเพิ่มวงเงินการรับสิทธิคนว่างงานเป็น 600 เหรียญเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

นักเศรษฐศาสตร์หลายๆรายก็เชื่อว่าคองเกรสน่าจะมีการขยายมาตรการดังกล่าวออกไป แต่อาจมีการยกเลิกนโยบายช่วยเหลือวงเงิน 600 เหรียญออก

ทั้งนี้ หากว่าการระบาดของไวรัสโคโรนายังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีผลให้เกิดการกลับมา Shutdown มากขึ้น ก็มีความเป็นไปได้ที่ข้อมูลการจ้างงานในเดือนก.ค. จะดิ่งกลับมาหดตัวอีกครั้ง

· ยอดผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาในสหรัฐฯเพิ่มขึ้นทำระดับสูงสุดต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 2 ขณะที่ในรัฐแอริโซนา และแคลิฟอร์เนียยังมียอดติดเชื้อเป็นประวัติการณ์

รายงานยอดผู้ติดเชื้อใหม่ในสหรัฐฯ พบว่ายังมีสูงกว่า 44,700 ราย นับเป็นวันที่ 2 ที่มียอดผู้ติดเชื้อรายวันสูงที่สุดนับตั้งแต่ที่ประเทศพบการเริ่มระบาด และส่งผลให้ยอดผู้ติดเชื้อสะสมในสหรัฐฯมีมากกว่า 2.63 ล้านราย หรือคิดเป็น 1 ส่วน 4 ของยอดผู้ติดเชื้อทั่วโลก

 

Ø  ยอดผู้ติดเชื้อทั่วโลกเวลานี้อยู่ที่: 10,793,417 ราย
ยอดผู้เสียชีวิตทั่วโลกล่าสุดอยู่ที่
: 518,046 ราย

Ø  จำนวนผู้ติดเชื้อในสหรัฐฯล่าสุดมีผู้ติดเชื้ออยู่ที่ 2,779,665 ราย (+50,809) และมีผู้เสียชีวิตที่ระดับ 130,790 ราย (+668)

Ø  จำนวนผู้เชื้อในบราซิลล่าสุดอยู่ที่ 1,453,369 ราย (+44,884) ซึ่งขณะนี้ขึ้นมาเป็นลำดับที่ 2 ของโลก และมีผู้เสียชีวิตที่ระดับ 60,713 ราย (+1,057)

Ø  จำนวนผู้ติดเชื้อในรัสเซียล่าสุดอยู่ที่ 654,405 ราย (+6,556) และมีผู้เสียชีวิตอยู่ที่ระดับ 9,536 ราย (+216)

Ø  จำนวนผู้ติดเชื้อในอินเดียล่าสุดอยู่ที่ 605,220 ราย (+19,428) และมีผู้เสียชีวิตอยู่ที่ระดับ 17,848 ราย (+438)


· รัฐแคลิฟอร์เนียสั่งปิดธุรกิจภายในตัวอาคารบางแห่งจากการระบาดของไวรัสโคโรนาที่เพิ่มสูงเป็นประวัติการณ์ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มโรงภาพยนตร์ และร้านอาหารโดยมีผลในทันที


· WHO เตือนบางประเทศอาจต้องกลับมา Lockdown จากการระบาดที่กลับมาเพิ่มขึ้นรวดเร็ว

เจ้าหน้าที่ระดับสูงจากองค์การอนามั้ยโลกหรือ WHO กล่าวว่าในบางประเทศที่มีอัตราการระบาดของไวรัสโคโรนาอย่างมากอาจต้องกลับมาใช้มาตรการ Lockdown ใหม่อีกครั้งเพื่อจำกัดการแพร่ระบาดในประเทศ ขณะที่บางประเทศก็พบความสำเร็จในการจำกัดการระบาดและสามารถกลับมาเปิดทำการได้อีกครั้ง


· ไอเอ็มเอฟชี้เศรษฐกิจเอเชียจะหดตัวลงเป็นครั้งแรกจากการระบาดของไวรัสโคโรนา

ไอเอ็มเอฟ กล่าวว่า เศรษฐกิจเอเชียถูกคาดว่าจะหดในปีนี้เป็นครั้งแรกแห่งความทรงตัวจำ พร้อมกล่าวเตือนว่าประเทศในภูมิภาคเอเชียจะใช้เวลาหลายปีกว่าที่เศรษฐกิจจะฟื้นตัวได้ โดยคาดว่าปีนี้ จีดีพีของเอเชียจะดิ่งลง -1.6% โดยเป็นการปรับลดลงจากคาดการณ์ก่อนหน้า แม้ภาพรวมการเติบโตในภูมิภาคจะมีทรงที่ดีกว่าภูมิภาคอื่นๆทั่วโลก แต่การที่เศรษฐกิจโลกมีความอ่อนแอมากขึ้นก็ดูจะเป็นการยากที่จะเห็นเศรษฐกิจเอเชียนั้นฟื้นตัวได้

รายงานดังกล่าวมีขึ้นหลังจากที่เดือนที่แล้ว ไอเอ็มเอฟมีการเปิดเผยคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจโลกที่คาดจะหดตัวลงไปแตะ -4.9% ปีนี้ ก่อนจะรีบาวน์กลับมาที่ 5.4% ปีหน้า


· โบโอเอ็นเทค ร่วมกับไฟเซอร์ ชี้วัคซีน Covid-19 มีประสิทธิภาพ

ไฟเซอร์ อิงค์ ซึ่งเป็นบริษัทยาใหญ่ที่สุดของสหรัฐ เปิดเผยในวันนี้ว่า การทดลองใช้วัคซีนต้านไวรัสCovid-19 ในมนุษย์ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ

ทั้งนี้ ไฟเซอร์ทำการทดลองในอาสาสมัคร 45 คน ซึ่งทุกคนได้รับวัคซีน 10, 30 หรือ 100 ไมโครกรัมจำนวน 2 โดส หรืออาจได้รับยาหลอก (placebo)

ไฟเซอร์เปิดเผยว่า อาสาสมัครซึ่งได้รับวัคซีน 10 หรือ 30 ไมโครกรัมเป็นเวลา 28 วันจะทำให้ร่างกายสร้างแอนติบอดี ซึ่งมีความสำคัญในการป้องกันเชื้อไวรัส Covid-1919

นอกจากนี้ ไฟเซอร์ระบุว่า วัคซีนดังกล่าวไม่ได้ก่อให้เกิดผลข้างเคียงต่ออาสาสมัครมากนัก แต่อาจทำให้เกิดไข้ในบางราย โดยเฉพาะกลุ่มที่ได้รับวัคซีน 100 ไมโครกรัม

ทั้งนี้ ไฟเซอร์ได้พัฒนาวัคซีนดังกล่าวร่วมกับ BioNTech ซึ่งเป็นบริษัทยาของเยอรมนี และคาดว่าบริษัทจะสามารถผลิตวัคซีนหลายล้านโดสภายในปลายปีนี้


· รายงานประชุมเฟด เห็นพ้องสื่อสารสัญญาณชี้นำนโยบายการเงินให้ชัดเจนขึ้น

เฟดเผยรายงานการประชุมประจำวันที่ 9-10 มิ.ย. โดยระบุว่า กรรมการเฟดส่วนใหญ่มีความเห็นตรงกันว่า เฟดควรจะมีคำอธิบายที่ชัดเจนมากขึ้นให้กับตลาดการเงิน เกี่ยวกับแนวทางในการกำหนดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อให้ตลาดได้รับทราบข้อมูลมากขึ้นว่า อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้เฟดจำเป็นต้องตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับใกล้ 0% หรือต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย

รายงานการประชุมยังระบุด้วยว่า กรรมการเฟดส่วนใหญ่เห็นพ้องต้องกันว่า การซื้อสินทรัพย์จะช่วยให้เศรษฐกิจสามารถฟื้นตัวจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาได้ และยังเป็นเครื่องมือชั้นดีในการรักษาเส้นอัตราผลตอบแทน (yield curve) ให้อยู่ในแนวราบ ขณะที่กรรมการเฟดส่วนหนึ่งกล่าวว่า เฟดจำเป็นต้องผลักดันให้มีการใช้เครื่องมืออื่นๆ ที่มีความเป็นไปได้ เช่น การควบคุมเส้นอัตราผลตอบแทน (yield curve control) ซึ่งจะช่วยควบคุมอัตราดอกเบี้ยระยะยาว

อย่างไรก็ดี กรรมการเฟดบางคนเตือนว่า การที่เฟดให้คำมั่นว่าจะตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับต่ำเป็นเวลานานนั้น อาจสร้างความเสี่ยงต่อเสถียรภาพด้านการเงิน


· สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯอนุมัติขยายเวลาโครงการเงินกู้แก่ภาคธุรกิจขนาดเล็กวงเงิน 6.6 แสนล้านเหรียญ เพื่อช่วยภาคธุรกิจขนาดเล็กที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโคโรนา โดยจะต่ออายุออกไปถึง 8 ส.ค. และกำลังยื่นอนุมัติคโครงการดังกล่าวให้แก่นายทรัมป์ เซ็นต์ลงนามรับรองในเวลานี้


· สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯผ่านร่างกฎหมารยโครงสร้างพื้นฐานวงเงิน 1.5 ล้าน แต่แนวโน้มของกฎหมายฉบับนี้ยังไม่แน่นอน เนื่องจากวุฒิสภาสหรัฐฯดูจะคัดค้านต่อการดำเนินการดังกล่าว


· สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯผ่านร่างกฎหมายคว่ำบาตรภาคธนาคารจีนเกี่ยวกับกรณีฮ่องกง โดยมาตรการดังกล่าวได้รับมติเอกฉันท์ รวมไปถึงภาคธนาคารที่มีการทำธุรกิจกับเจ้าหน้าที่จีนที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายดังกล่าว ทั้งหมดนี้จึงยิ่งสะท้อนความกังวลเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯและจีนมากขึ้น


· ราคาน้ำมันดิบปิดบวกจากสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯลดลง และภาคการผลิตทั่วโลกมีสัญญาณฟื้นตัว แต่ตลาดก็ยังมีแรงกดดันจากภาวการณ์เพิ่มขึ้นของไวรัสโคโรนาในเวลานี้

ราคาน้ำมันดิบปิดปรับขึ้นได้ประมาณ 1% นำโดยราคาน้ำมันดิบ Brent ที่ปิด +67 เซนต์ หรือ +1.5% ที่ระดับ 41.9 เหรียญ/บาร์เรล ขระที่ราคาน้ำมันดิบ WTI ปิดปรับขึ้น 44 เซนต์ หรือ +1.1% ที่ระดับ 39.73 เหรียญ/บาร์เรล

EIA เผย สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯปรับตัวลงเกินคาดประมาณ 7.2 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว หลังจากที่ทำ All-Time Highs มาตลอด 3 สัปดาห์ก่อนหน้า จึงสะท้อนว่าโรงกลั่นน้ำมันมีการลดกำลังการผลิตอันมีสาเหตุจากการระบาดของไวรัสรอบใหม่

บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com