• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 26 มิถุนายน 2563

    26 มิถุนายน 2563 | Economic News

· ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่า ท่ามกลางกังวลไวรัสโคโรนากดดันความต้องการสินทรัพย์เสี่ยง

ค่าเงินดอลลาร์ปรับแข็งค่าขึ้นจากความต้องการถือครองสินทรัพย์ปลอดภัยท่ามกลางความกังวลในเรื่องการระบาดของไวรัสโคโรนารอบใหม่ในบางพื้นที่ของสหรัฐฯ และตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนที่เพิ่มขึ้น

ดัชนีดอลลาร์ปรับแข็งค่าขึ้นมา 0.3% ที่ 97.42 จุด
ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ก, นิวเจอร์ซี และคอนเนคทิคัล มีคำสั่งให้ผู้ที่เดินทางจาก 8 รัฐในสหรัฐฯต้องทำการกักกันตัวเองเป็นระยะเวลา 2 สัปดาห์หากเดินทางมา ท่ามกลางการระบาดที่เพิ่มมากขึ้

ตลาดค่าเงินดูจะจับตาไปยังการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นเพื่อดูแนวการเปลี่ยนแปลงของความเชื่อมั่นในสินทรัพย์เสี่ยง โดยเมื่อคืนนี้ยังเห็นตลาดหุ้นโดยส่วนใหญ่เปิดแดนลบหลังวันก่อนปิดร่วงลงอย่างหนัก

ข้อพิพาทระหว่างสหรัฐฯและยุโรปมีขึ้นจากการที่สหรัฐฯกำลังพิจารณาความเป็นไปได้ของการเปลี่ยนแปลงภาษีสินค้านำเข้าของยุโรป และเรื่องนี้เป็นปัจจัยกดดันความเชื่อมั่นนักลงทุน

ค่าเงินยูโรถูกดดัน ประกอบกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรในภูมิภาค อาทิผลตอบแทนพันธบัตรอิตาลีปรับตัวลง หลังจากที่อีซีบีที่มีจุดยืนต่อสู้กับความท้าทายที่ศาลเยอรมันมีการวินิจฉัยกรณีแผนอัดฉีดเงินของอีซีบี โดยล่าสุดอีซีบีระบุว่าจะทำการเสนอการกู้ยืมเงินยูโรให้แก่ธนาคารกลางต่างๆนอกพื้นที่ยุโรปเพื่อเป็นการสนับสนุนตลาดเงินทุนในช่วงการระบาดของไวรัสโคโรนา

ค่าเงินยูโรอ่อนค่าลงมา 0.31% ที่ 1.1215 ดอลลาร์/ยูโร ในส่วนของเงินเยนก็อ่อนค่าเมื่อคืนนี้ 0.17% ปิดแถว 107.2 เยน/ดอลลาร์


· ข้อมูลว่างงานรายสัปดาห์สหรัฐฯเพิ่มขึ้นเกินคาดอีก 1.48 ล้านราย รวมยอดว่างงานตั้งแต่กลางเดือนมี.ค. - ปัจจุบันสูงกว่า 47.2 ล้านราย

· ข้อมูลจีดีพีไตรมาสแรกสหรัฐฯขั้นสุดท้ายออกมา -5% แย่กว่าที่คาดไว้ คาดมีแนวโน้มจะเห็นจีดีพีหดตัวลงต่อ

ขณะที่จีดีพีรายไตรมาสเคยหดตัวมากถึง -8.4% ในช่วงไตรมาสที่ 4/2008 ซึ่งเป็นช่วงที่สหรัฐฯเผชิญกับวิกฤตการเงิน แต่ไตรมาสแรกของปีนี้ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเป็นผลกระทบจากการ Shutdown ในภาคธุรกิจที่เริ่มต้นขึ้นในหลายๆพื้นที่ของสหรัฐฯตั้งแต่ช่วงกลางเดือนมี.ค.

บรรดานักเศรษฐศาสตร์เชื่อว่าจีดีพีสหรัฐฯมีแนวโน้มจะหดตัวลงมากกว่า 30% ในช่วงระหว่างเม.ย. - มิ.ย. (ไตรมาสที่ 2 ของปีนี้)

· ยอดผู้ติดเชื้อใหม่สหรัฐฯพุ่งขึ้นเป็นประวัติการณ์ ท่ามกลางรายงานจากโรงพยาบาลกว่า 16 รัฐ


รายงานจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสใหม่ของสหรัฐฯปรับตัวขึ้นกว่า 34,400 รายเมื่อวันพุธ โดยข้อมูลจากสาธารณสุขชี้ว่ารัฐแคลิฟอร์เนีย รัฐฟลอริดา และเท็กซัส โดยองค์รวมมียอดผู้ติดเชื้อรายวันที่ยังคงทำสูงสุดเป็นประวัติการณ์


ผู้ว่าการรัฐเท็กซัส กล่าวให้สัมภาษณ์กับสื่อโทรทัศน์ โดยเรียกร้องให้ประชาชนทำการสวมใส่หน้ากากอนามัยและปฏิบัติตามกฎ Social Distancing อย่างเคร่งครัดเพื่อป้องกันตนเองจากการระบาดของไวรัส เนื่องด้วยอัตราการพบผู้ติดเชื้อใหม่ในโรงพยาบาลยังคงทำ All-Time High

พร้อมกันนี้ เขายังระบุที่จะชะลอแผนการกลับมาเปิดทำการประเทศออกไป และสั่งให้เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลสีเขตของพื้นที่ต้องระงับการผ่าตัดออกไปก่อนจากการระบาดของไวรัสเวลานี้

· เฟดจำกัดการจ่ายเงินปันผันให้แก่ธนาคารหลังมีการวิเคราะห์ผลกระทบจากการระบาด

เมื่อคืนนี้เฟดประกาศที่จะทำการจำกัดการจ่ายเงินปันผลให้แก่ภาคธนาคารรายใหญ่รวมทั้งการกลับเข้าซื้อคืนหุ้นอย่างน้อยที่สุดจนถึงไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ ท่ามกลางกลุ่มผู้ให้กู้ที่เผชิญกับภาวะสูญเสียเงินทุนเมื่อทำการทดสอบกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำในเวลานี้จากการระบาดของไวรัสโคโรนา

ทั้งนี้ จากการวิเคราะห์พบว่าบรรดาผู้ให้กู้รายใหญ่ของประเทศมีความพยายามต่อสู้กับแบบจำลองการชะลอตัวอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ตามมาด้วยโครงการช่วยเหลือ ที่พบว่ามีความไม่แน่นอนอย่างมากเกี่ยวกับการดำเนินการของธนาคาร รวมทั้งทิศทางเศรษฐกิจโดยองค์รวมที่อาจเกิดขึ้นภายในไม่กี่เดือนข้างหน้า

อย่างไรก็ดี เฟดไม่ได้ระบุว่าแต่ละธนาคารนั้นมีปัญหาภายใต้การวิเคราะห์ผลกระทบช่วงวิกฤตไวรัสอย่างไร เพียงแต่เปิดเผยว่าพบว่าผลทดสอบ 34 แห่งอาจได้รับผลกระทบจากการสูญเสียสินเชื่อร่วมสูงกว่า 7 แสนล้านเหรียญภายใต้สถาการณ์ที่ค่อนข้างรุนแรงในเวลานี้ ประกอบกับทิศทางเศรษฐกิจที่จะฟื้นตัวแบบ W-Shaped

· ยอด Balance Sheet ของเฟดลดลง ท่ามกลางการ Swap ค่าเงินที่น้อยลงเช่นกัน

ขนาดของยอด Balance Sheet ของเฟดลดลงต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่สอง โดยลดลงมาที่ 7.13 ล้านล้านเหรียญในช่วงสัปดาห์ที่สิ้นสุด 24 มิ.ย. จากระดับ 7.14 ล้านล้านเหรียญในสัปดาห์ก่อน ท่ามกลางธนาคารกลางต่างประเทศมีการปรับลดการใช้Swaps ค่าเงิน และธนาคารต่างๆในสหรัฐฯจำเป็นต้องทำตามระเบียบเฟดสำหรับข้อตกลงการซื้อคืนหุ้นล่าสุด

· ประธานเฟดจะกล่าวถ้อยแถลงภายใต้กฎหมาย CARES Act ก่อนพบกับคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรในสัปดาห์หน้า

นายเจอโรม โพเวลล์ ประธานเฟดมีกำหนดการกล่าวถ้อยแถลงภายใต้โครงการช่วยเหลือ,ฟื้นฟู และความมั่นคงทางเศรษฐกิจจากวิกฤตไวรัสโคโรนาหรือ CARES Act ในวันอังคารหน้า เป็นวันเดียวกันกับช่วงก่อนจะมีการกล่าวถ้อยแถลงต่อหน้าคณะกรรมาธิการกำกับดูแลภาคบริการด้านการเงินของสภาผู้แทนราษฎรของสหรัฐฯ

· วุฒิสภาสหรัฐฯมีการผ่านร่างกฎหมายบทลงโทษจีนต่อกรณีการออกกฎหมายความมั่นคงฮ่องกง โดยมาตรการดังกล่าวจะประกอบไปด้วยการคว่ำบาตรขั้นสองต่อภาคธนาคารต่างๆที่ทำธุรกิจร่วมกับกลุ่มคนที่ให้การสนับสนุนการปราบปรามดินแดนแห่งเอกราช และมีความเป็นไปได้ที่จะถอนสถานะออกจากการค้าร่วมกับสหรัฐฯ และการจำกัดการเข้าถึงการทำธุรกรรมในรูปค่าเงินดอลลาร์

· CNBC ชี้โพลล์โอกาสของ “ไบเดน” ที่จะคว้าชัยในศึกเลือกตั้งกับ “ทรัมป์”

บรรดาผู้บริหารฝ่ายการเงินส่วนใหญ่มองโอกาสที่ นายโจ ไบเดน จะมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯคนต่อไป ขณะที่คะแนนเสียงของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯคนปัจจุบันคนค่อนข้างตกลง

ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มผู้เชี่ยวชาญการเงิน, นักวิเคราะห์, ล็อบบี้ยิสต์, นักกฎหมาย และที่ปรึกษาด้านการเมือง กล่าวกับ CNBC ว่าภาคอุตสาหกรรมดูจะมีความมั่นคงมากขึ้นหากนายไบเดน ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งนี้

· น้ำมันดิบปรับขึ้นเกือบ 2% ท่ามกลางข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯที่มีสัญญาณการฟื้นตัว อาจหนุนปริมาณอุปสงค์ให้เพิ่มขึ้นได้ แต่การขึ้นของราคาน้ำมันดิบก็ยังเป็นไปอย่างจำกัดจากยอดผู้ติดเชื้อไวรัสที่เพิ่มขึ้นในบางพื้นที่ของสหรัฐฯ

น้ำมันดิบ Brent ปิด +74 เซนต์ หรือ +1.8% ที่ 41.05 เหรียญ/บาร์เรล หลังจากที่ไปทำต่ำสุดที่ 39.47 เหรียญ/บาร์เรล และวันพุธปิดร่วงกว่า 5.4%

น้ำมันดิบ WTI ปิดปรับขึ้น 71 เซนต์ หรือ +1.87% ที่ระดับ 38.72 เหรียญ/บาร์เรล

บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com