· ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากเหล่านักลงทุนให้ความสนใจไปยังโอกาสของการฟื้นตัวจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาทั่วโลก ซึ่งได้เอาชนะความกังวลเกี่ยวกับความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯกับจีน
ขณะที่ปัจจัยที่กดดันความต้องการสินทรัพท์เสี่ยงทั่วโลก คือการที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ พยายามจะใช้กำลังทางทหารเพื่อยับยั้งเหตุการประท้วงในสหรัฐฯ ส่งผลให้ Stock futures ในเอเชียปรับตัวลดลง
ทั้งนี้ ดัชนี MSCI ที่ไม่รวมตลาดหุ้นญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น 0.41%
· ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปรับตัวสูงขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบกว่า 3 เดือน ท่ามกลางความหวังที่ว่าเศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวโดยได้รับแรงหนุนจากรายการผลประกอบการภาคบริษัที่รีบาวน์ขึ้น ขณะที่หลายๆประเทศกำลังกลับมาเปิดทำการอีกครั้งหลังจากปิดไปเนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา
ดัชนี Nikkei ปิดเพิ่มขึ้น 1.19% ที่ระดับ 22,325.61 จุด หลังจากช่วงก่อนหน้านี้ปรับตัวสูงขึ้นไปทำระดับสูงุสดนับตั้งแต่วันที่ 26 ก.พ. ที่ผ่านมา นำโดยหุ้นอุตสาหกรรมและเทคโนโลยี
โดยตลาดหุ้นญี่ปุ่นปรับตัวสูงขึ้นตามการเพิ่มขึ้นของตลาดหุ้นสหรัฐฯเมื่อคืนที่ผ่านมา หลังจากที่ข้อมูลภาคการผลิตสหรัฐฯที่ออกมาแย่กว่าคาด แต่ดีกว่าเดิม
ซึ่งดัชนี Nikkei ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 36% จากระดับต่ำสุดเมื่อวันที่ 16 มี.ค.ที่ผ่านมา เนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาในญี่ปุ่นที่ลดลงกระตุ้นให้เจ้าหน้าที่ยกเลิกมาตรการ Lockdown และอนุญาตให้ผู้ค้าปลีกรายอื่นกลับมาดำเนินการเปิดธุรกิจต่อ
อย่างไรก็ดี เหล่านักลงทุนบางรายยังคงระมัดระวังการลงทุน เนื่องจากความไม่แน่นอนที่เกิดจากการประท้วงครั้งใหญ่ในสหรัฐฯ กรณีการเสียชีวิตของชาวผิวสีและความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนในเรื่องกฎหมายความมั่นคงในฮ่องกง
· ตลาดหุ้นจีนปรับตัวสูงขึ้น ท่ามกลางมุมมองเชิงบวกเกี่ยวกับนโยบายใหม่ของรัฐบาลที่พยายามสนับสนุนเศรษฐกิจที่มีความกังวลเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับสหรัฐที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น
ทั้งนี้ ดัชนี Shanghai Composite ปิดเพิ่มขึ้น 0.2% ที่ระดับ 2,9210.40 จุด ด้านดัชนีกบุ่มบลูชิพ CSI300 เพิ่มขึ้น 0.31% โดยดัชนีภาคการเงินสูงขึ้น 1.04% กลุ่มผู้บริโภคหลักลดลง 0.35% ดัชนีอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้น 2.41% และดัชนีด้านการดูแลสุขภาพลดลง 0.91%
· ตลาดหุ้นยุโรปเปิดปรับตัวสูงขึ้น ท่ามกลางเหตุการณ์ความไม่สงบและความรุนแรงในสหรัฐฯ เนื่องจากการประท้วงยังคงดำเนินต่อไป จากกรณีชาวผิวสีที่ถูกตำรวจล็อกคอจนขาดอากาศหายใจและเสียชีวิตในระหว่างการถูกจับกุมเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
โดยดัชนี Stoxx600 เพิ่มขึ้น 1% ด้านหุ้นกลุ่มยานยนต์เพิ่มขึ้น 2.1% ท่ามกลางตลาดหุ้นภูมิภาคส่วนใหญ่ที่เคลื่อนไหวในแดนบวก
· อ้างอิงจากสำนักข่าวอินโฟเควสท์
- รายงานข่าวจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยสถานการณ์การท่องเที่ยวเดือน เม.ย. 63 ว่า ผลกระทบของการระบาดของโควิด-19 ที่ระบาดไปทั่วทั้งโลก ส่งผลให้ยอดนักท่องเที่ยวต่างชาติในเดือน เม.ย. นี้ เป็นเดือนที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด โดยตลอดเดือน เม.ย. ไม่มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเดินทางเข้าสู่ประเทศไทยเลยแม้แต่คนเดียว นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การท่องเที่ยวที่ไม่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาเที่ยวไทย เป็นผลมาจากการประกาศ พ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉินในช่วง 25 มี.ค. 63 ที่ให้ปิดด่านตรวจคนเข้าเมืองทั่วประเทศ และประกาศของ สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) ที่ห้ามอากาศยานทำการบินเข้าสู่ประเทศไทยเป็นการชั่วคราว
- รายงานข่าวจาก สมาคมค้าทองคำ เปิดเผยว่า สมาคมฯ ได้มีมติกำหนดปรับลดส่วนต่างราคาทองคำแท่งขายออก และราคาทองคำแท่งรับซื้อคืน ให้มีส่วนต่าง 100 บาท ตามปกติ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย. 63 เป็นต้นไป เนื่องจากปัจจุบันปัญหาราคาทองคำในตลาดโลกเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว
· อ้างอิงจากสำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย
- BTS อวดกำไรงวดปี 62/63 ที่ 8.16 พันล้านบาท โต 184% พร้อมปันผล 0.15 บาท/หุ้น ขึ้น XD 29 ก.ค.63 เตรียมเพิ่มทุนแบบมอบอำนาจทั่วไป 1.1 พันล้านหุ้น ขาย PP และ เพิ่มวงเงินออกหุ้นกู้เป็น 6 หมื่นล้านบาท เพื่อเพิ่มสภาพคล่อง-ชำระคืนหนี้-เป็นทุนหมุนเวียน
บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS รายงานผลดำเนินงาน งวดปี 62/63 (สิ้นสุด มี.ค.63) มีกำไรสุทธิ 8,161.75 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 184.1% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 2,872.95 ล้านบาท โดยมีรายได้รวม จำนวน 42,203 ล้านบาท รายได้หลักมาจากธุรกิจระบบขนส่งมวลชน
นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท อนุมัติจ่ายเงินปันผลในอัตรา 0.15 บาท ต่อหุ้น กำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล(XD) วันที่ 29 ก.ค. 2563 กำหนดจ่ายวันที่ 14 ส.ค.2563