สถานการณ์ไวรัสโคโรนา:
Ø จำนวนผู้ติดเชื้อทั่วโลกล่าสุดอยู่ที่ 3,646,871 ราย
Ø จำนวนผู้เสียชีวิตทั่วโลกล่าสุดอยู่ที่ 252,442 ราย
Ø จำนวนประเทศติดเชื้อทั่วโลกล่าสุดอยู่ที่ 212 ประเทศ
Ø จำนวนผู้ติดเชื้อในสหรัฐฯล่าสุดมีผู้ติดเชื้ออยู่ที่ 1,212,955 ราย (+120) และมีผู้เสียชีวิตที่ระดับ 69,925 ราย (+4)
Ø จำนวนผู้ติดเชื้อในไทยล่าสุดรวมผู้ติดเชื้อสะสมอยู่ที่ 2,988 (+1) ราย และมีผู้เสียชีวิตรวมสะสม 54 ราย
-ผู้ว่ารัฐแคลิฟอร์เนียแห่งสหรัฐฯ ระบุว่าผู้ประกอบการร้านค้าจะสามารถกลับมาเปิดทำการได้ภายในช่วงปลายสัปดาห์นี้ โดยต้องปรับระบบการให้บริการบางส่วน และอยู่ภายใต้เงื่อนไขของรัฐบาลท้องถิ่น
- ประเทศเยอรมนีจะเปิดทำการร้านค้าอีกครั้ง รวมถึงอนุญาตให้มีการแข่งขันฟุตบอล
รัฐบาลเยอรมนีจะอนุมัติการผ่อนคลายมาตรการ Lockdown จากไวรัสโคโรนาเพิ่มอีก โดยจะประกาศผ่านการสัมมนาออนไลน์กับ นางอังเกลา แมร์เคิล นายกรัฐมนตรีเยอรมนีในวันพรุ่งนี้
แหล่งข่าวกล่าวว่า รัฐบาลน่าจะอนุมัติให้เปิดทำการร้านค้าขนาดใหญ่ตั้งแต่วันที่ 11 พ.ค.
-นายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์เผยยอดผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนารายใหม่ในประเทศออกมาที่ 0 รายติดต่อกันเป็นวันที่สอง พร้อมเปิดเผยว่ารัฐบาลกำลังเจรจากับออสเตรเลียเกี่ยวกับแผนกลับมาเปิดการท่องเที่ยวระหว่างทั้งสองประเทศ ซึ่งจะมีประกาศอย่างเป็นทางการตามมาภายในวันนี้
- Reuters คาดยอดเสียชีวิตจากไวรัสโคโรนาทั่วโลกจะแตะ 250,000 ราย
ผลสำรวจจาก Reuters ที่รวบรวมคาดการณ์จากรัฐบาลหลายๆประเทศ ได้ผลสรุปออกมาว่ายอดเสียชีวิตจากการติดเชื้อไวรัสโคโรนาทั่วโลกจะขึ้นแตะระดับ 250,000 ราย หลังจากที่ยอดผู้ติดเชื้อทั่วโลกได้สูงกว่าระดับ 3.5 ล้านรายไปแล้ว แต่ก็ได้ระบุด้วยว่าอัตราการเสียชีวิตดูจะเริ่มชะลอตัวลง
ทั้งนี้ คาดว่าจะมีผู้เสียชีวิตจากไวรัสโคโรนามากที่สุดในประเทศแถบอเมริกาเหนือและยุโรป เมื่อพิจารณาจากการรายงานยอดผู้ติดเชื้อรายวันเมื่อไม่กี่วันมานี้ ขณะที่ประเทศในแถบลาตินอเมริกา แอฟริกา และรัสเซีย ก็เริ่มมีสัญญาณของการติดเชื้อที่มากขึ้นเมื่อไม่นานมานี้เช่นกัน
สำหรับอัตราการติดเชื้อเฉลี่ยทั่วโลกในปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 1-2% ลดลงจากระดับสูงสุดที่ 14% ของวันที่ 21 มี.ค.
- ผลการวิจัยใหม่จากสถาบันด้านการประเมินสุขภาพจาก University of Washington ได้ปรับคาดการณ์ยอดผู้เสียชีวิตจาก COVID-19 เพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 135,000 รายภายในช่วงต้นเดือน ส.ค. มากกว่าคาดการณ์เดิมเกือบเท่าตัว โดยระบุว่าจะเป็นผลกระทบมาจากการผ่อนคลายมาตรการล็อคดาวน์ประเทศ ทำให้มีการเดินทางไปมาของประชาชนมากขึ้น
ทั้งนี้ ยอดผู้เสียชีวิตในสหรัฐฯ ถูกคาดการณ์เอาไว้เฉลี่ยที่ 134,475 ราย ภายในวันที่ 4 ส.ค. เฉลี่ยระหว่างน้อยสุดที่ 95,092 ราย และมากที่สุดที่ 242,890 ราย เทียบกับคาดการณ์เดิมเฉลี่ยที่ 72,400 ราย เฉลี่ยระหว่างน้อยสุดที่ 59,300 ราย และมากที่สุดที่ 114,200 ราย
· ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินของประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน ท่ามกลางราคาน้ำมันที่ฟื้นตัวติดต่อกัน แต่ทรงตัวเมื่อเทียบกับเงินหยวนท่ามกลางความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน และสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจากวิกฤตไวรัส
ค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียแข็งค่าเหนือระดับ 0.64 ดอลลาร์ แถว 0.6454 ดอลลาร์ หลังธนาคารกลางออสเตรเลียประกาศคงอัตราดอกเบี้ยและเป้าหมายอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 3 ปีไว้ที่ 0.25% แต่ได้คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจในช่วงครึ่งแรกของปีจะอ่อนแอลงเป็นประวัติการณ์ท่ามกลางวิกฤตไวรัสโคโรนา
การซื้อขายในวันนี้เป็นไปอย่างเบาบาง เนื่องจากตลาดญี่ปุ่นและจีนปิดเนื่องในวันหยุดประจำชาติ ประกอบความกังวลเกี่ยวกับการเติบโตของเศรษฐกิจโลกเป็นปัจจัยกดดันการลงทุนในค่าเงินวันนี้
· ด้านค่าเงินยูโรถูกกดดันจากรายงานข่าวที่ว่าศาลในเยอรมนีจะพิจารณาว่าธนาคารกลางจะสามารถดำเนินการตามนโยบายเข้าซื้อพันธบัตรของอีซีบีได้หรือไม่ ซึ่งตลาดคาดการณ์ว่าศาลจะไม่ปฏิเสธการเข้าร่วมนโยบายดังกล่าว แต่หากมีผลลัพธ์ที่ออกมาแตกต่างจากนี้ ก็อาจส่งผลกระทบต่อค่าเงินยูโรได้อย่างมาก
โดยค่าเงินยูโรทรงตัวแถวระดับ 1.0906 ดอลลาร์/ยูโร ใกล้ระดับต่ำสุดในรอบ 1 สัปดาห์ที่ลงไปเมื่อคืน ขณะที่ค่าเงินปอนด์ยังเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆแถว 1.2461 ดอลลาร์/ปอนด์
· ล่าสุด ศาลเยอรมนีตัดสินว่านโยบายเข้าซื้อพันธบัตรของอีซีบี "ผิดกฏหมายบางส่วน"
อย่างไรก็ตาม ศาลได้ระบุว่าไม่ใช่ทุกส่วนของนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจจากอีซีบีที่ผิดกฏหมาย
· EUR/USD Forecast: เสี่ยงอ่อนค่าทดสอบแนวรับที่ 1.0880
บทวิเคราะห์ทางเทคนิคจาก FX Street ระบุว่าค่าเงินยูโรมีแนวโน้มที่จะเคลื่อนไหวในทิศทางอ่อนค่าต่อ โดยในกราฟราย 4 ช.ม. ค่าเงินเคลื่อนไหวต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ยราย 20 วันเป็นครั้งแรกในรอบสัปดาห์ ขณะที่เส้นค่าเฉลี่ยราย 100 และ 200 วันที่เคลื่อนไหวแบบไร้ทิศทางมาบรรจบกันแถว 1.0880 ดอลลาร์/ยูโร จึงทำหน้าที่เป็นแนวรับสำคัญสำหรับวันนี้ ขณะที่ Indicators ต่างๆ ยังขาดสัญญาณที่ชัดเจน หากค่าเงินหลุดต่ำกว่าแนวรับสำคัญที่ 1.0880 ดอลลาร์/ยูโร จะทำให้ค่าเงินมีแนวโน้มอ่อนค่าลงต่ออีก
แนวรับ: 1.0880 1.0830 1.0795
แนวต้าน: 1.0920 1.0950 1.0995
· อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯปรับสูงขึ้นได้เล็กน้อยในวันนี้ ท่ามกลางนักลงทุนที่คลายความกังวลเกี่ยวกับความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน และหันกลับมาให้ความหวังกับการกลับมาเปิดเศรษฐกิจอีกครั้ง แม้จะยังมีความกังวลเกี่ยวกับโอกาสเกิดการระบาดของไวรัสโคโรนาเป็นระลอกที่สองก็ตาม
โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯอายุ 10 ปี ปรับสูงขึ้นแถว 0.6540% ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯอายุ 30 ปี ปรับสูงขึ้นแถว 1.3041%
· ไบเดนเผยนโยบายใหม่ เพื่อเรียกเสียงสนับสนุนจากชาวผิวสี
นายโจ ไบเดน ตัวแทนชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯจากพรรคเดโมแครต เผยนโยบายที่จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมสำหรับชาวผิวสีในสหรัฐฯทั้งด้านสุขภาพและฐานะ เพื่อพยายามเรียกเสียงสนับสนุนในการเลือกตั้งเดือน พ.ย. จากชาวผิวสี
โดยหนึ่งในนโยบายที่นายไบเดนประกาศ คือการก่อตั้งสำนักงานรายงานเครดิตที่จะมาแข่งขันกับธุรกิจประเภทเดียวกันอย่าง Equifax Inc, Experian Plc และ TransUnion โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำด้านการกู้ยืมให้กับชาวผิวสี
นอกจากนี้ อดีตประธานาธิบดียังได้ประกาศระบบภาษีใหม่สำหรับเจ้าของบ้านรายใหม่, งบประมาณ 900 ล้านเหรียญเป็นระยะเวลา 8 ปี เพื่อพัฒนาความปลอดภัยในเมืองที่มีอัตราก่ออาชญากรรมสูง รวมถึงขยายการปล่อยกู้ให้กับธุรกิจขนาดเล็กที่มีเจ้าของเป็นผู้มีสัญชาติแอฟริกัน-อเมริกันที่เป็นกลุ่มผู้ประกอบการที่ไม่สามารถกู้ยืมเงินเพื่อมาต่ออายุธุรกิจในช่วงวิกฤตไวรัสโคโรนา โดยเป็นผลกระทบมาจากระบบการปล่อยกู้ที่ค่อนข้างเหยียดสีผิว
· อดีตเจ้าหน้าที่เจรจาการค้าระดับสูงของสหรัฐฯคาดว่า ความตึงเครียดที่สูงขึ้นระหว่างสหรัฐฯและจีนจะเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามเย็นครั้งใหม่ โดยการระบาดของไวรัสโคโรนาทำให้ความตึงเครียดดังกล่าวแย่ลงกว่าเดิม นอกจากนี้ อดีตรองผู้อำนวยการที่ปรึกษาเศรษฐกิจแห่งชาติกล่าวว่า ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯและจีนเพิ่มสูงขึ้นเป็นอย่างมากในขณะนี้
· ธนาคารกลางออสเตรเลีย (RBA) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยที่ 0.25% แม้มีสัญญาณบ่งชี้เพิ่มขึ้นว่า เศรษฐกิจภายในประเทศกำลังได้รับผลกระทบเป็นวงกว้างจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา
โดยนายฟิลิป โลว์ ผู้ว่าการธนาคารกลางออสเตรเลีย ระบุว่า จะยังคงตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 0.25% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ และเป็นระดับที่ทาง RBA กำหนดไว้ตั้งแต่ช่วงที่ไวรัสเริ่มแพร่ระบาด
· ราคาน้ำมันปรับสูงขึ้นท่ามกลางความหวังเกี่ยวกับการกลับมาเปิดเศรษฐกิจในหลายๆประเทศ โดยเฉพาะฝั่งสหรัฐฯ ยุโรป และเอเชีย ซึ่งน่าจะช่วยฟื้นฟูปริมาณอุปสงค์ในพลังงานขึ้นมาได้
โดยราคาสัญญาน้ำมันดิบ WTI ปรับสูงขึ้น 9.9% หรือ 2.01 เหรียญ แถว 22.40 เหรียญ/บาร์เรล นับเป็นการปรับขึ้นติดต่อกันได้ 5 วันทำการ
ขณะที่ราคาสัญญาน้ำมันดิบ WTI ปรับสูงขึ้น 6.9% หรือ 1.87 เหรียญ แถว 29.07 เหรียญ/บาร์เรล นับเป็นการปรับขึ้นติดต่อกันได้ 6 วันทำการ
ความหวังว่าปริมาณอุปสงค์ในพลังงานจะเริ่มฟื้นตัวขึ้นได้มาจากรายงานข่าวเกี่ยวกับการเปิดเศรษฐกิจในหลายๆประเทศ ไม่ว่าจะเป็นอิตาลี สเปน โปรตุเกส อินเดีย และไทย รวมถึงบางรัฐของสหรัฐฯ ซึ่งจะทำให้ผู้คนสามารถกลับมาโดยสารไปทำงานได้มากขึ้น รวมถึงการก่อสร้างที่จะเริ่มกลับมาดำเนินการอีกครั้ง
· ผลประกอบการบริษัท Total ซึ่งเป็นบริษัทด้านพลังงานรายใหญ่ของฝรั่งเศส ออกมาร่วงลงในไตรมาสแรกตะ 1.8 พันล้านเหรียญ จากระดับ 2.8 พันล้านเหรียญเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว หรือลดลง 3.5% อันเนื่องจากราคาน้ำมันที่ร่วงลงเป็นประวัติการณ์ จึงทำให้ภาพรวมของอุปสงค์ทั่วโลกดูจะแย่ลงในช่วงเกิดวิกฤตไวรัสโคโรนา ขณะที่คาดการณ์ผลสำรวจจาก Refinitiv คาดว่าผลประกอบการจะอยู่ที่ 1.4 พันล้านเหรียญ
· Goldman Sachs ปรับคาดการณ์เป้าหมายราคาน้ำมัน WTI ใหม่
ธนาคาร Goldman Sachs ปรับคาดการณ์ราคาน้ำมัน WTi สำหรับปี 2021 ใหม่ โดยคาดว่าราคาน้ำมัน WTI จะฟื้นตัวขึ้นไปที่ระดับ 51.38 เหรียญ/บาร์เรลได้ภายในปี 2021 เทียบกับคาดการณ์เดิมที่ 48.50 เหรียญ/บาร์เรล โดยจะได้รับแรงหนุนมาจากปริมาณอุปสงค์ที่จะค่อยๆฟื้นตัวขึ้น ประกอบการแรงหนุนด้านการปรับสมดุลอุปทานจากกลุ่ม OPEC+
· Oil Price Forecast: ราคายืนเหนือ 21.00 เหรียญ มีแนวโน้มปรับขึ้นได้ติดต่อกัน 5 วันทำการ
บทวิเคราะห์จาก FX Street ระบุว่าราคาสัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน มิ.ย. กำลังเคลื่อนไหวแดนบวกในช่วงสายวันนี้ คิดเป็น +4.80% แถว 21.40 เหรียญ/บาร์เรลโดยประมาณ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ปรับตัวลดลงไปท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ไวรัสโคโรนาจนทำระดับต่ำสุดในรอบหลายปี ก่อนที่จะฟื้นตัวขึ้นมาได้จากกระแสคาดการณ์ว่าปริมาณอุปสงค์จะเริ่มฟื้นตัวขึ้น ประกอบการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันครั้งใหญ่จากบรรดาผู้ผลิต
Technical analysis
ในเชิงเทคนิค ราคาน้ำมันสามารถยืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ยราย 21 วันแถว 19.27 เหรียญ/บาร์เรลขึ้นมาได้ ทำให้มีเป้าหมายถัดไปอยู่ที่ 22.60 เหรียญ/บาร์เรล และถัดไปอีกที่ 26.80 เหรียญ/บาร์เรล ซึ่งเป็นเส้นค่าเฉลี่ยราย 50 วัน ในทางกลับกัน หากราคาย่อตัวหลุดต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ยราย 21 วันที่ระดับ 19.27 เหรียญ/บาร์เรล อาจทำให้ราคาเผชิญแรงเทขายและย่อตัวลงไปพักแถว 16.65 เหรียญ/บาร์เรล ที่เป็นเส้นค่าเฉลี่ยราย 10 วัน หากหลุดแนวรับนี้ลงมา ราคาจะมีโอกาสย่อลงต่อไปถึงระดับ 10.40 เหรียญ/บาร์เรล ที่เป็นระดับต่ำสุดของวันที่ 28 เม.ย. และถัดไปที่ 10.00 เหรียญ/บาร์เรล เป็นแนวรับสำคัญทางจิตวิทยา