การเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯกำลังจะหดตัวลงมากที่สุดตั้งแต่ Great Depression ในช่วงปี 1930 แต่ในไตรมาสแรกปีนี้ก็มีแนวโน้มว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯจะออกมาไม่ดีนัก จากการระบาดของไวรัสโคโรนาตั้งแต่เดือนมี.ค. ทำให้เกิดการเติบโตของเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอยครั้งแรกในรอบเกือบ 11 ปี
ผลสำรวจบรรดานักเศรษฐศาสตร์โดย MarketWatch คาดว่า จีดีพีจะหดตัวลงประมาณ 3.9% ในไตรมาสแรก ซึ่งจะเป็นการหดตัวที่มากที่สุดตั้งแต่ Great Recession ในปี 2009 โดยรายงานจีดีพีสหรัฐฯไตรมาสที่ 1/20 ครั้งที่ 1 ที่จะประกาศเวลา 19.30 น.
ขณะที่องค์ประกอบสำคัญของจีดีพีมี ดังนี้
การใช้จ่ายของผู้บริโภค
การปิดทำการของเศรษฐกิจในช่วง 2-3 สัปดาห์สุดท้ายของเดือนมี.ค. ส่งผลกระทบให้ภาคการใช้จ่ายของผู้บริโภคลดลงอย่างมาก โดยการปิดทำการร้านอาหาร, โรงแรม และธุรกิจอื่น ๆ อีกนับไม่ถ้วน ทำให้พนักงานหลายล้านคนตกงาน ซึ่งความกังวลดังกล่าว ทำให้ชาวอเมริกันเริ่มที่จะประหยัดเงินมากขึ้น
การใช้จ่ายของผู้บริโภคเปรียบเสมือนเส้นเลือดที่หล่อเลี้ยงเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ซึ่งคิดเป็นประมาณ 70% ของกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั้งหมด ทำให้การใช้จ่ายของผู้บริโภคอาจร่วงลงประมาณ 3% ถึง 4% ซึ่งอาจเป็นการหดตัวมากที่สุดตั้งแต่ Great Recession
การลงทุนภาคเศรษฐกิจ
การลงทุนในกลุ่มวัสดุอุปกรณ์และสิ่งก่อสร้าง อาทิ อาคาร, โรงงาน และอุปกรณ์ขุดเจาะน้ำมันที่มีการปรับตัวลงอยู่แล้วก่อนที่จะเกิดการระบาดของไวรัสโคโรนา ส่วนมากเป็นเพราะสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน โดยจะเห็นได้ว่า ไวรัสจะเป็นสาเหตุที่ทำให้การลงทุนชะลอตัวลงในไตรมาสแรกและหลังจากนั้น
ภาคอุตสาหกรรมพลังงานก็ย่ำแย่ลงไปพร้อมกับราคาน้ำมัน ผู้ผลิตรถยนต์และเครื่องบินก็ได้รับความเดือดร้อนจากการลดลงของอุปสงค์เนื่องจากผู้คนใช้จ่ายกันน้อยลง เพียงแค่ไตรมาสแรก การลงทุนของภาคธุรกิจลดลงจาก 10% เป็น 15%
ขณะที่ภาคที่อยู่อาศัยและภาคก่อสร้างยังคงดีอยู่ แต่การปรับดอกเบี้ยครั้งใหญ่ของเฟดก่อนปิดไตรมาส
คลังสินค้า
ภาคธุรกิจลดการผลิตลงในช่วงสุดท้ายของไตรมาสแรก และสต็อกสินค้าที่ขายไม่ได้ที่อยู่ในคลังสินค้ามีการปรับตัวลดลง โดยปรับตัวลงไปมากถึง 7.5 หมื่นล้านเหรียญ ซึ่งเป็นการปรับตัวลงมากที่สุดครั้งที่สองที่จะฉุดจีดีพีในไตรมาสแรก
ยอดขาดดุลการค้า
ยอดขาดดุลการค้าของสหรัฐฯอาจหดตัวลง แต่ก็เป็นเพราะการนำเข้าและส่งออกสินค้าเริ่มที่จะไม่คล่องตัว เนื่องจากการระบาดของไวรัสโคโรนาขัดขวางการซื้อขายระหว่างประเทศ ซึ่งอาจมียอดขาดดุลการค้าในจีดีพีน้อยลง แต่ก็ไม่ได้เป็นสัญญาณที่ดี
รัฐบาล
รัฐบาลสหรัฐฯใช้จ่ายงบประมาณเพิ่มมากขึ้นเพื่อไม่ให้เศรษฐกิจหดตัวลงไปมากกว่านี้ โดยรัฐบาลสหรัฐฯได้อัดฉีดเงินมากขึ้นในภาคธุรกิจและครัวเรือน แต่ก็ไม่ได้ทำให้จีดีพีสูงขึ้น เพราะการอัดฉีดเงินไม่ได้คิดเป็นส่วนหนึ่งของจีดีพีเพราะเป็นการใช้จ่ายโดยตรงของรัฐบาล การที่รัฐบาลใช้จ่ายมากขึ้นอาจช่วยให้จีดีพีขยายตัวขึ้นได้เพียงเล็กน้อยในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้
ที่มา: MarketWatch