· สถานการณ์ไวรัสโคโรนา:
Ø จำนวนผู้ติดเชื้อทั่วโลกล่าสุดอยู่ที่ 2,994,731
Ø จำนวนผู้เสียชีวิตทั่วโลกล่าสุดอยู่ที่ 206,990 ราย
Ø จำนวนประเทศติดเชื้อทั่วโลกล่าสุดอยู่ที่ 210 ประเทศ
Ø จำนวนผู้ติดเชื้อในสหรัฐฯล่าสุดมีผู้ติดเชื้ออยู่ที่ 987,160 ราย และมีผู้เสียชีวิตที่ระดับ 55,413 ราย
Ø จำนวนผู้ติดเชื้อในไทยล่าสุดรวมผู้ติดเชื้อสะสมอยู่ที่ 2,922 ราย และมีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นรวมสะสม 51 ราย
· ค่าเงินดอลลาร์ปรับอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับยูโร หลังจากที่ราคาปรับขึ้นไปต่อเนื่อง 4 วันทำการ โดยกลุ่มนักลงทุนมีการทำ Cover Short บางส่วนในค่าสกุลเงินอื่นๆ ขณะที่ภาพรวมก็ยังมีความกังวลว่าแนวโน้มของยูโรจะเป็นปัจจัยที่กดดันดอลลาร์
ค่าเงินยูโรแข็งค่าขึ้น 0.16% ที่ 1.0793 ดอลลาร์/ยูโร แต่ภาพรายสัปดาห์ดอลลาร์ดูจะแข็งค่ากว่าโดยปรับขึ้นได้ประมาณ 0.7% เมื่อเทียบยูโร
แม้ว่าค่าเงินยูโรจะปรับแข็งค่าขึ้นได้แต่ก็เป็นเพียงระยะสั้นๆเท่านั้นที่เราเห็นยูโรไปทำ High ที่ 1.0846 ดอลลาร์/ยูโรเมื่อวันพฤหัสบดี จากการที่กลุ่มอียูจัดประชุมร่วมกันทางด้านกองทุนฉุกเฉินหลายล้านล้านยูโร
ค่าเงินปอนด์ปรับแข็งค่าขึ้น 0.14% ที่ 1.2359 ดอลลาร์/ยูโร แม้ว่ายอดค้าปลีกอังกฤษจะดิ่งลงเป็นประวัติการณ์ในเดือนมี.ค. จากปัญหาภาวะ Lockdown ภายในประเทศ ที่ฉุดให้ยอดขายสินค้าต่างๆปรับตัวลดลง
ดัชนีดอลลาร์ทรงตัวที่ 100.261 จุด หลังจากที่สัปดาห์ที่แล้วเคลื่อนไหวต่ำกว่า 100 จุดเป็นส่วนใหญ่
· รายงานจากรอยเตอร์ส ชี้ว่า แม้ว่าสหรัฐฯจะเตรียมผ่อนปรนมาตรการเข้มงวดอันเกิดจากการระบาดของไวรัสโคโรนา แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพส่วนใหญ่ยังคงกล่าวเตือนว่าผลการตรวจหาเชื้อยังอยู่ในระดับเล็กน้อยมาก ขณะที่ทำเนียบขาวคาดจะเห็นคนว่างงานสหรัฐฯพุ่งขึ้นอย่างมาก ซึ่งเศรษฐกิจโดยองค์รวมได้รับผลเสียจากมาตรการ Social Distancing
ภาคธุรกิจที่ปิดทำการก็ดูจะทำให้ชาวสหรัฐฯกว่า 26.5 ล้านคนตกงานตั้งแต่ช่วงกลางเดือนมี.ค. และคาดจะเห็นเศรษฐกิจช่วงไตรมาสที่ 2/2020 หดตัวลงไปเกือบ 40%
CBO คาดการณ์การว่าปีหน้าอัตราว่างงานจะอยู่เหนือระดับ 10% ขณะที่ช่วงก่อนเกิดการระบาดอัตราว่างงานดูจะทรงตัวต่ำกว่าระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์แถว 3.5%
นายเควิน แฮสเซส ที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจประจำทำเนียบขาวเผยว่า อัตราว่างงานสหรัฐฯมีแนวโน้มจะแตะ 16% ในเดือนเม.ย. จากการ Shuttdown ทางเศรษฐกิจ แต่การใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งก็มีแนวโน้มจะเห็นเศรษฐกิจรีบาวน์ได้อย่างแข็งแรงพอ แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือการที่อัตราว่างงานมีแนวโน้มจะเพิ่มสูงมากที่สุดตั้งแต่ที่เคยเกิด Great Depression ในปี 1930
· ทรัมป์ยังไม่เดินหน้าหาเสียง ท่ามกลางวิกฤติไวรัส
เหลือเวลาอีกประมาณ 6 เดือนก่อนถึงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯในเดือน พ.ย. ขณะที่สหรัฐฯกำลังเผชิญกับภัยพิบัติครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เหตุการณ์ 9/11 ซึ่งกำลังเป็นปัจจัยที่กดดันไม่ให้นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ สามารถดำเนินแผนการหาเสียงเลือกตั้งของเขาได้
โดยแผนการเลือกตั้งของนายทรัมป์มีความเป็นไปได้ที่เขาจะเดินหน้านโยบายกดดันทางการค้ากับจีนต่อไป แม้จะยังไม่มีการเริ่มดำเนินการหาเสียงใดๆเลยก็ตาม ขณะที่นายทรัมป์ยังคงมีความเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมว่าเขาจะสามารถเอาชนะการเลือกตั้งในเดือน พ.ย. ได้ ซึ่งจะเป็นการชิงตำแหน่งประธานาธิบดีกับนายโจ ไบเดน อดีตรองประธานาธิบดีตัวแทนฝั่งเดโมแครต
นอกจากนี้นายทรัมป์ยังเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯจะสามารถฟื้นตัวกลับสู่สถานะที่เคยเป็นก่อนเกิดการระบาดของไวรัสโคโรนา และเชื่อว่าเขาจะได้รับคำยกย่องหากเศรษฐกิจสามารถฟื้นตัวได้ตามที่คาดการณ์
· สหรัฐฯ จะไม่เข้าร่วมงานเปิดตัวโครงการพัฒนาวัคซีนของ WHO
โฆษกประจำรัฐบาลสหรัฐฯเผย สหรัฐฯจะไม่เข้าร่วมงานเปิดตัวโครงการพัฒนาวัคซีนสำหรับ COVID-19 ที่องกรค์อนามัยโลกหรือ WHO เป็นผู้ดูแล แต่จะคอยจับตาและให้ความร่วมมือกับนานาประเทศอย่างเต็มที่
· ยอดคำสั่งซื้อสินค้าใหม่ของสหรัฐฯปรับตัวขึ้นเกินคาดในเดือนมี.ค. แต่ก็ยังมีแนวโน้มสูงที่ข้อมูลดังกล่าวจะไม่มีเสถียรภาพเพียงพอจากการะรบาดของไวรัสโคโรนา ที่ทำให้เกิดภาวะ Shutdown ภายในประเทศ รวมทั้งการทรุดตัวของราคาน้ำมันดิบด้วย ขณะที่กระทรวงพาณิชย์ชี้อุปสงค์มีแนวโน้มจะปรับตัวลงจากยอดขนส่งทางเรือที่ยังคงลดลงในสัปดาห์ที่แล้ว
· คาดการณ์จากหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ พบว่า การ Shutdown ในภาคธุรกิจที่เพิ่มขึ้นมีแนวโน้มจะทำให้ยอดขาดดุลการค้าสหรัฐฯพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์บริเวณ 3.7 ล้านล้านเหรียญสำหรับปีงบประมาณ ในการนำงบใช้จ่ายไปต่อสู้กับการระบาดของไวรัสโคโรนา และมีแนวโน้มจะทำให้จีดีพีสหรัฐฯมีแนวโน้มหดตัวเกือบ -40% ในไตรมาสที่ 2/2020 นี้ แต่ครึ่งปีหลังสถานการณ์อาจจะผ่อนคลายได้ ด้านอัตราว่างงานอาจแตะ 16% และอาจเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวได้จนถึงปี 2021
· รัฐบาลเยอรมนี กล่าวว่า เศรษฐกิจเยอรมนีมีแนวโน้มจะหดตัวลงไปกว่า 6% ในปีนี้ ซึ่งอาจเป็นระดับที่แย่ที่สุดเป็นประวัติการณ์หลังเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่เศรษฐกิจมีแนวโน้มจะรีบาวน์กลับได้หลังผ่านพ้นการระบาดไปในปี 2021 ที่อาจเห็นเศรษฐกิจฟื้นตัวได้กว่า 5%
· ประเทศฟิลลิปปินส์ก็ดูจะได้รับผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโคโรนาและอาจทำให้จีดีพีปีนี้หดตัวลงมากที่สุดในรอบกว่า 2 ทศวรรษ ก่อนจะค่อยๆฟื้นตัวกลับในลักษณะ U-Shape ปีหน้า
โดยผู้ว่าการธนาคารกลางฟิลิปปินส์ เผยว่า จีดีพีปีนี้อาจหดดตัวลงไปประมาณ 0.2% ก่อนจะรีบาวน์กลับมาที่ 7.7% ได้จากการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นตัวสนับสนุน โดยมองกรอบเป้าหมายจีดีพีระหว่างปี 2020 – 2022 ไว้ที่ 6.5% - 7.5%
· รัฐมนตรีกระทรวงการคลังกรีซ ยอมรับว่า สภาพเศรษฐกิจของประเทศกรีซก็ได้รับผลกระทบจากการใช้นโยบายที่เข้มงวดช่วงการระบาดของไวรัสเช่นกัน และส่งผลให้เกิดคาดการณ์ที่ว่าจะเห็นจีดีพีกรีซหดตัวลงไปประมาณ 5-10% ในปีนี้
· ราคาน้ำมันดิบปิดปรับตัวสูงขึ้นในคืนวันศุกร์จากกลุ่มผู้ผลิตด้านพลังงานส่วนใหญ่ที่จะเดินหน้าลดจำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันในสหรัฐฯและแคนาดา แต่ภาพรายสัปดาห์น้ำมันดิบ WTI และ Brent ก็ยังคงอยู่ในแดนลบต่อเนื่อง 3 สัปดาห์ เนื่องจากตลาดดูจะตอบรับกับข่าวที่ว่าอุปสงค์น้ำมันปรับตัวลงไปประมาณ 30% ในช่วงเกิดการระบาดของไวรัสโคโรนา
ทั้งนี้ น้ำมันดิบ WTI ปิดปรับขึ้น 44 เซนต์ หรือ +2.67% ที่ระดับ 16.94 เหรียญ/บาร์เรล หลังจากที่วันก่อนปรับขึ้นได้เกือบ 20% ทางด้าน Brent ปิดปรับขึ้น 32 เซนต์ +1.5% ที่ 21.65 เหรียญ/บาร์เรล
· สัญญาน้ำมันดิบฟิวเจอร์สเปิดปรับลงในเช้านี้ โดย WTI เปิดลดลง 32 เซนต์ หรือ 16.62 เหรียญ/บาร์เรล ทางด้านน้ำมัน Brent ปรับลงไป 12 เซนต์ หรือ -0.6% ที่ 21.56 เหรียญ/บาร์เรล จากกลุ่มนักลงทุนที่ทำการเทขายทำกำไรเมื่อราคามีการปรับตัวสูงขึ้น
· จีนส่งทีมแพทย์เข้าพบผู้นำเกาหลีเหนือ
รายงานจากรอยเตอร์ส ระบุว่า รัฐบาลจีนมีการส่งทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญข้ามชายแดนไปยังเกาหลีเหนือเพื่อให้คำปรึกษาเกี่ยวกับสุขภาพของนายคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ ตั้งแต่เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ขณะที่ยังคงไม่มีความชัดเจนเกี่ยวกับสุขภาพของนายคิม ณ ปัจจุบัน.
· เกาหลีใต้ ชี้ คิม จอง อึน “ยังมีชีวิตอยู่และสบายดี”
CNN รายงานถ้อยแถลงของที่ปรึกษาด้านนโยบายต่างประเทศประจำตัวนายมุน แจ-อิน ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ โดยระบุว่า นายคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ “ยังมีชีวิตอยู่และสบายดี” ดังนั้นสถานภาพทางการเมืองระหว่างทั้งสองชาติเกาหลีจึงมียังมีความสมดุล
นอกจากนี้ที่ปรึกษายังระบุอีกว่า นายคิมได้พำนักอยู่ที่เมืองวอนซานของเกาหลีเหนือ นับตั้งแต่วันที่ 13 เม.ย. ที่ผ่านมา และไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆที่น่าสงสัย