• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 17 เมษายน 2563

    17 เมษายน 2563 | Economic News

 


สถานการณ์ไวรัสโคโรนา

Ø        จำนวนผู้ติดเชื้อทั่วโลกล่าสุดอยู่ที่ 2,180,741

Ø        จำนวนผู้เสียชีวิตทั่วโลกล่าสุดอยู่ที่ 145,451 ราย

Ø         จำนวนประเทศติดเชื้อทั่วโลกล่าสุดอยู่ที่ 210 ประเทศ และติดเชื้อบนเรือสำราญ 2 ลำ ได้แก่ Diamond Princess และล่าสุด Holland America’s MS Zaandam
Ø        จำนวนผู้ติดเชื้อในสหรัฐฯอยู่ลำดับที่ 1 ของโลก ล่าสุดมีผู้ติดเชื้ออยู่ที่ 677,180 ราย (+29,177) และมีผู้เสียชีวิตเป็นอันดับที่ 1 ของโลกที่ระดับ 34,602 ราย (+2,159)
Ø        จำนวนผู้ติดเชื้อในสเปนปรับตัวขึ้นมาอยู่เป็นอันดับที่ 2 ของโลก โดยล่าสุดมีผู้ติดเชื้อที่ 184,948 ราย (+4,289) ขณะที่ผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 19,315 ราย (+503)

Ø         จำนวนผู้ติดเชื้อในอิตาลีอยู่ที่ระดับ 168,941 ราย (+3,786) ขณะที่ผู้เสียชีวิตรวมแล้วทั้งสิ้น 22,170 ราย (+525)
Ø        จำนวนผู้ติดเชื้อในไทยล่าสุดรวมผู้ติดเชื้อสะสมอยู่ที่ 2,672 ราย (+29) และมีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นรวมสะสม 46 ราย (+3)

- นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวถึงแนวทางที่อาจช่วยฟื้นเศรษฐกิจสหรัฐฯจากภาวะ Shutdown ของไวรัสโคโรนาด้วยกระบวนการ 3 ขั้นตอน เนื่องจากเขามองว่าภาวะ Shutdown ที่กินเวลานานจะเป็นปัจจัยที่ส่งผลเสียเชิงลึกต่อเศรษฐกิจและสังคม ดังนั้น การอนุญาตกลับมาเปิดทำการจะไม่ใช่ทั้งหมด แต่ต้องใช้ความระวังและมีการดำเนินการอย่างเป็นขั้นตอน

อย่างไรก็ดี นายทรัมป์ไม่ให้รายละเอียดเพิ่มเติมถึงแนวทางหรือขั้นตอนดังกล่าวว่าเป็นอย่างไร


- สมาชิกวุฒิสภาระดับสูงของพรรครีพับลิกัน กล่าวว่า ในส่วนของร่างกองทุนเงินฉุกเฉินจำนวน 2.5 แสนล้านเหรียญ ในการช่วยเหลือภาคธุรกิจขนาดเล็กยังคงปราศจากข้อตกลงที่ชัดเจน


- รายงานผลสำรวจนักเศรษฐศาสตร์จาก Reuters ชี้ว่า วิกฤตไวรัสโคโรนาของจีนถูกคาดว่าจะทำให้เศรษฐกิจจีนร่วงลงเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1992 จึงยิ่งสร้างแรงกดดันและคาดว่าบรรดาผู้กำหนดนโยบายต่างๆจะต้องมีการหนุนเศรษฐกิจเพิ่มในขณะที่คนว่างงานมีแนวโน้มถูกคุกคามและเพิ่มสูงขึ้น

ภาพรวมคาดการณ์จีดีพีไตรมาสแรกคาดจะหดตัวลงมากถึง 6.5% จากเดิมที่ขยายตัวได้ราว 6ในไตรมาสก่อนหน้า และหากออกมา -6.2จริงก็จะเป็นการปรับตัวลดลงเป็นครั้งแรกไม่ต่ำกว่าในปี 1992  และตลาดก็รอดูข้อมูลการประกาศในวันนี้ ควบคู่กับรายงานผลผลิตโรงงานอุตสาหกรรม มี.ค., ยอดค้าปลีก และการลงทุนสินทรัพย์ถาวร

นักวิเคราะห์จาก  Nomura คาดว่าจีนมีแนวโน้มจะเผยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมในระยะสั้นและอาจเห็นธนาคารกลางจีนดำเนินการด้วยช่องทางที่หลากหลายทางการเงินเสริมกัน


- ล่าสุดสถานการณ์ในอังกฤษจะทำการขยายมาตรการ Lockdown ออกไปอีกอย่างน้อย 3 สัปดาห์ ท่ามกลางการระบาดที่ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตทั่วโลกพุ่งสูงกว่า 140,000 ราย


- สมาคมอุตสาหกรรมรถยนต์ของเยอรมนี VDA เรียกร้องให้บรรดาผู้บริหารกลุ่มอุตสาหกรรมรถยนต์ระดับสูงนักการเมืองช่วยอัดฉีดเม็ดเงินหลังได้รับผลกระทบจากปัญหาการระบาดของไวรัสโคโรนา


- เจ้าหน้าที่อาวุโสของรัฐบาลเยอรมนี เผยว่า ยอดงบประมาณขาดดุลของอิตาลีอาจแตะ 10ของจีดีพีปีนี้ และอาจจำเป็นต้องทำการกู้ยืมเพิ่มมากขึ้นเพื่อลดผลกระทบจากการระบาดของไวรัสที่จะฉุดให้เศรษฐกิจอิตาลีเข้าสู่ภาวะถดถอยเชิงลึก

และเป้าหมายของปีนี้ดูจะมียอดขาดดุลอยู่ที่ 2.2หลังจากที่ยอดขาดดุลปี 2019 อยู่ที่ 1.6ซึง่เป็นต่ำสุดรอบ 12 ปี


U.N. กล่าวเตือนว่า ภาวะเศรษฐกิจขาลงอาจทำให้เด็กนับแสนเสี่ยงเสียชีวิตมากขึ้นในปี 2020 เนื่องจากการระบาดของไวรัส ส่งผลให้ประชาชนกว่า 10 ล้านครัวเรือนอาจเข้าสู่ภาวะยากจนข้นแค้นมากขึ้น


IMF กล่าวย้ำถึงการระบาดของไวรัสโคโรนาที่จะสร้างปัญหามากขึ้นจากปัญหาที่เคยเกิดขึ้นในช่วงปีก่อนๆ และจะนำมาซึ่งประเทศในแถบละตินอเมริกาและคาริบเบียนมีแนวโน้มการเติบโตที่ไม่โตเลยในรอบ 10 ตั้งแต่ปี 2015-2025 และคาดอาจเห็นจีดีพีปีนี้หดตัวลงไปกว่า -5.2%


- นายจอห์น วิลเลียม ประธานเฟดสาขานิวยอร์ก กล่าวถึงการที่เฟดใช้นโยบายที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเพื่อรับมือกับการระบาดของไวรัสโคโรนา ก็เพื่อให้ตลาดเดินหน้าได้สะดวกขึ้น แต่ก็ไม่รู้ว่าไวรัสจะส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจโดยองค์รวมเช่นไร แต่คาดจะใช้เวลาหลายปีที่จะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯกลับมาฟื้นตัวได้อย่างเต็มที่


- นายราฟาเอล บอสติค ประธานเฟดสาขาแอตแลนต้า กล่าว่า ภาคธุรกิจขนาดเล็กของสหรัฐฯอาจจำเป็นต้องใช้เงินมูลค่ากว่า 5 แสนล้านเหรียญ/เดือนเพื่อฟื้นคืนธุรกิจของพวกเขาจากการรระบาดของไวรัสโคโรนา และถือเป็นเจ้าหน้าที่เฟดอีกหนึ่งรายที่ค่อนข้างกังวลต่อการระบาดและการรับมือกับภาวะความเสี่ยงขาลงทางเศรษฐกิจ


- นายโธมัน บาร์กิน ประธานเฟดสาขาริชมอนด์ กล่าวว่า สหรํฐฯอาจเผชิญกับความท้าทายในด้านการผลิตจากวิกฤตในปัจจุบันที่กระทบทั้งภาคบริการและธุรกิจ โดยเฉพาะในกลุ่มสุขภาพที่ทำให้หลายๆบริษัทจำเป็นต้องเกิดการเปลี่ยนตำแหน่งหรือลดตำแหน่


- รายงานล่าสุดพบว่าเฟดมียอดงบดุลบัญชีที่สูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ที่วงเงิน 6.42 ล้านล้านเหรียญในสัปดาห์นี้ จากการใช้นโยบายเข้าซื้ออย่างไม่มีลิมิตเพื่อช่วยให้เกิดสภาพคล่องในสินทรัพย์ต่างๆ และทำให้ตลาดรับมือกับการระบาดของไวรัสได้

นอกจากนี้การเข้าซื้อพันธบัตรของเฟดยังเข้าใกล้แก๊ปราคาของตลาดพันธบัตรที่ 8.63 แสนล้านเหรียญ


- สถาบันจัดอันดับ S&P Global Ratings เผยว่า การระบาดของไวรัสโคโรนาดูจะยิ่งสร้างความเสี่ยงมากขึ้นให้แก่ความเชื่อมั่นที่อาจปรับตัวลงไปสู่ระดับขยะ  นับตั้งแต่ที่เคยกิดวิกฤตทางการเงิน

ขณะที่บรรดากลุ่มผู้ถือหุ้นก็มีแนวโน้มจะลดจำนวนลงในอีกไม่กี่สัปดาห์เนื่องจากภาคบริษัทมีแนวโน้มจะได้รับผลจากการเข้าสู่ถาวะถดถอยเชิงลึก และจะเห็ฯได้ว่าตั้งแต่เริ่มต้นปีได้ทำให้กว่า 42 บริษัทในช่วงระหว่างเดือนมี.ค.และก.พ. ปรับตัวลงไปแล้วกว่า 38%

นอกจากนี้ S&P Global Ratings ยังมีการหั่นคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจโลกลง โดยน่าจะเห็นการหดตัวลง -2.4% เช่นเดียวกับสหรัฐฯที่มีแนวโน้มจะหดตัว -5.2ด้านยูโรโซนคาดแย่สุดหดตัวแถว -7.3%


·         ค่าเงินดอลลาร์ปรับตัวขึ้นไปทำแข็งค่ามากที่สุดรอบ 1 สัปดาห์ ท่ามกลางกลุ่มนักลงทุนที่ทำการเข้าถือครองดอลลาร์ ในขณะที่ภาพรวมของคนว่างงานรายสัปดาห์ในสหรัฐฯ พุ่งขึ้นแตะ 22 ล้านราย โดยดัชนีดอลลาร์แข็งค่าขึ้น 0.45ที่ 100.08 จุด ซึ่งถือเป็นระดับดีที่สุดรอบ 1 สัปดาห์เมื่อเทียบค่าเงินสกุลอื่


ด้านจำนวนคนว่างงานรายสัปดาห์ ปรับตัวลงไป 1.37 ล้านราย สู่ระดับ 5.245 ล้านรายสนสัปดาห์ที่แล้ว แต่การว่างงานในระดับสูงก็ยังตอกย้ำถึงภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯเข้าสู่ภาวะขาลงจากการระบาดของไวรัส ในส่วนของกลุ่มธุรกิจใหม่ของสหรัฐฯพบว่า ร่วงลงอย่างหนักจากมาตรการควบคุมต่างๆที่กระทบต่อการเข้าซื้อสินค้าหรือกิจกรรมทางเศรษฐกิจ

ค่าเงินยูโรกลับมาอ่อนค่าอีก 0.72% ที่ 1.083 ดอลลาร์/ยูโร จากการปราศจากข้อตกลงของรัฐบาลต่างๆในยูโรโซนเมื่อสัปดาห์ที่แล้วเพื่อหนุนให้เกิดการสกัดกั้นการระบาดของไวรัส


·         ราคาน้ำมันดิบค่อนข้างทรงตัวใกล้ระดับต่ำสุดรอบ 18 ปี หลังจากที่กลุ่ม OPEC เผยคาดการณ์การปรับลดอุปสงค์น้ำมันทั่วโลกสู่ระดับประวัติการณ์อันเนื่องจากปัญหาการระบาดของไวรัส โดย ณ ขณะนี้คาดว่าอุปสงค์น้ำมันทั่วโลกจะหดตัวลงไปประมาณ 6.9 ล้านบาร์เรล/วัน หรือคิดเป็น -6.9ในปี 2020

ก่อนทราบรายงานจะเห็นถึงการที่ราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นไปประมาณกว่า 1 เหรียญ ก่อนที่ Brent จะกลับมาปิดปรับขึ้นในช่วงท้ายเพียง 13 เซนต์ หรือ +0.47% ที่ระดับ 27.82 เหรียญ/บาร์เรล ด้าน WTI ปิดทรงตัวที่ 19.87 เหรียญ/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดต่ำสุดตั้งแต่ก.พ. ปี 2002



บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com