• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคค่ำ) ประจำวันที่ 16 เมษายน 2563

    16 เมษายน 2563 | Economic News

สถานการณ์ไวรัสโคโรนา

Ø จำนวนผู้ติดเชื้อทั่วโลกล่าสุดอยู่ที่ 2,084,792 ราย

Ø จำนวนผู้เสียชีวิตทั่วโลกล่าสุดอยู่ที่ 134,686 ราย

Ø จำนวนประเทศติดเชื้อทั่วโลกล่าสุดอยู่ที่ 210 ประเทศ และติดเชื้อบนเรือสำราญ 2 ลำ ได้แก่ Diamond Princess และล่าสุด Holland America’s MS Zaandam

Ø จำนวนผู้ติดเชื้อในสหรัฐฯอยู่ลำดับที่ 1 ของโลก ล่าสุดมีผู้ติดเชื้อรวมที่ 644,348 ราย (+259) และยอดผู้เสียชีวิตที่ปรับตัวขึ้นมาเป็นอันดับที่ 1 ของโลกด้วยจำนวนทั้งหมด 28,554 ราย (+25)

Ø จำนวนผู้ติดเชื้อในสเปนปรับตัวขึ้นมาอยู่อันดับที่ 2 ของโลก ล่าสุดมีผู้ติดเชื้อที่ 180,659 ราย ขณะที่ผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 18,812 ราย

Ø จำนวนผู้ติดเชื้อในอิตาลีอยู่ที่ระดับ 165,155 ราย ขณะที่ผู้เสียชีวิตรวมแล้วทั้งสิ้น 21,645 ราย

Ø จำนวนผู้ติดเชื้อในไทยล่าสุดเพิ่มอีก 29 ราย รวมผู้ติดเชื้อสะสมอยู่ที่ 2,672 ราย และมีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 3 ราย รวมสะสม 46 ราย

· กองทุนไอเอ็มเอฟ คาด เศรษฐกิจเอเชียโตต่ำสุดรอบ 60 ปี

กองทุนไอเอ็มเอฟ เผยคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจเอเชียที่มีโอกาสแตะ 0% ในปีนี้ โดยระบุถึงการขยายตัวที่มีแนวโน้มย่ำแย่ที่สุดในรอบเกือบ 60 ปี เมื่อเทียบกับในช่วงยุควิกฤตการเงินทั่วโลก เศรษฐกิจโตได้ 4.7% ขณะที่วิกฤตการเงินในเอเชียขยายตัวได้ 1.37%

อย่างไรก็ดี ภาพรวมภูมิภาคเอเชียจะยังดูปรับตัวได้ดีกว่าภูมิภาคอื่นๆในเรื่องกิจกรรมทางเศรษฐกิจ

ทั้งนี้ ไอเอ็มเอฟ มีการปรับทบทวนมุมมองการเติบโตของเศรษฐกิจเกาหลีใต้ลงกว่า 3.5% ขณธที่ออสเตรเลีย ไทย และนิวซีแลนด์ปรับลงมากกว่า 9% เนื่องจากในสามประเทศหลังมีแนวโน้มจะรับผลกระทบอย่างหนักจากภาวะการท่องเที่ยวททั่วโลกที่ชะลอตัวลง

สำหรับจีนคาดว่าการเติบโตจะลดลงจาก 6.1% ในปี 2019 ลงมาเหลือเพียง 1.2% ในปีนี้ และภาพรวมไอเอ็มเอฟเชื่อว่าเศรษฐกิจจะหดตัวลงในปีนี้กว่า 3% ซึ่งถือเป็นการเข้าสู่ภาวะถดถอยที่ย่ำแย่ที่สุดตั้งแต่ยุค Great Depression

· ภาพรวมไอเอ็มเอฟ นอกจากจะมองว่าจีดีพีโลกปีนี้จะหดตัวลงกว่า 3% แล้ว ยังคาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯจะหดตัวลงมากถึง 5.9% ขณะที่ยุโรปหดตัวกว่า 7.5%

ขณะที่การปรับทบทวนการเติบโตของเเอเชียบางส่วน มีดังนี้

- ญี่ปุ่น คาดหดตัวลงประมาณ 5.2%

- อินเดีย คาดขายตัวได้ที่ 1.9%

- เกาหลีใต้ คาดหดตัวลงประมาณ 1.2%

- 5 ประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คาดหดตัวลง 1.3% (อินโดนีเซีย, ไทย, มาเลเซีย, สิงคโปร์ และฟิลิปปินส์)

· ผู้บริหารแกร๊บคาดภาคธุรกิจขนส่งจะฟื้นตัวกลับหากประชาชนกลับมาทำงานกันอีกครั้ง

ผู้บริหาร Grab ระบุถึงการร่วงลงของภาคการขนส่ง GMV มากกว่าเท่าตัวในบางประเทศ โดยที่หลายๆบริษัทก็หันมาให้บริการและการขายสินค้าผ่านแพลตฟอร์มทางระบบอินเตอร์เน็ตมากขึ้น จึงทำให้โมเดลทางธุรกิจของหลายๆบริษัทมีการเปลี่ยนแปลงไป เช่น การขนส่งอาหาร และสินค้า ที่มาเป็นปัจจัยช่วยหนุนบริการ GMV ในช่วงการระบาดของไวรัส

และทาง Grab ก็มีการปรับตัวให้เหมาะสมกับสภาพธุรกิจ ทำให้แพลตฟอร์มที่รองรับช่วยสร้างรายได้และโอกาส แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าระบบของเราช่วยชดเชยผลกระทบของธุรกิจขนส่งได้ในช่วงนี้ แต่ในภาพรวมเชื่อว่าจะสามารถกลับมาฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่งในอนาคตเมื่อผู้คนกลับมาใช้ชีวิตตามปกติโดยปราศจากมาตรการ Lockdown

· นายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์ กล่าวว่า มาตรการที่เข้มงวดก็จะยังคงต่อไปแม้จะมีการผ่อนคลายกฎ Lockdwon ที่ใช้มาตลอดช่วง 1 เดือนก็ตาม

· นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย เผยว่า จะทำการคงมาตรการคุมเข้มเพื่อจำกัดการระบาดของไวรัสโครนาออกไปอีกอย่างน้อย 4 สัปดาห์ แม้จะมีสัญญาณว่าในรัฐแคนเบอร์ราจะประสบความสำเร็จด้วยอัตราการติดเชื้อที่ชะลอตัวลง

ซึ่งในเเดือนหน้าทางออสเตรเลียจะมีการขยายผลการตรวจหาเชื้อต่อไปสำหรับกลุ่มคนที่มีการติดต่อกับผู้ติดเชื้อเพื่อรับมือกับการระบาดของไวรัส

· รายงานผลจากจีนพบจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากกลุ่มที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ แต่การแพร่ระบาดภายในประเทศกลับเพิ่มสูงขึ้น นับเป็นการปรับขึ้นครั้งแรกในพื้นที่ในช่วงสามสัปดาห์นี้

โดยรายงานล่าสุดวานนี้พบผู้ติดเชื้อใหม่ปรับตัวลง 34 ราย จาก 36 รายในวันก่อนหน้า ซึ่งเป็นการปรับตัวลดลงต่เนื่องเป็นวันที่ 3 ท่ามกลางการตรวจสอบพบจำนวนผู้เดินทางเข้าประเทศที่ติดเชื้อลดลง

แต่จำนวนผู้ติดเชื้อภายในท้องถิ่นกลับเพิ่มขึ้นเป็น 12 ราย จากวันก่อนหน้าที่ 10 ราย ซึ่งถือเป็นการปรับขึ้นครั้งแรกในรอบ3 สัปดาห์ นับตั้งแต่ 23 มีนาคม

· รายงานจากสถาบัน RKI ของเยอรมนี พบว่ามีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอีก 2,866 ราย สู่ระดับ 130,450 ราย สะท้อนถึงการปรับตัวขึ้นของยอดผู้ติดเชื้อใหม่ติดต่อกันเป็นวันที่ 2 ขณะที่ยอดผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 315 ราย สู่ระดับ 3,569 ราย

· รายงานจาก BBC เผย อังกฤษจะยังคงมาตรการเว้นระยะทางสังคมจนกว่าจะมีวัคซีนในการรักษาอาการไวรัสโคโรนาเป็นที่แล้วเสร็จ

· ไวรัสโคโรนากระทบญี่ปุ่น คาดความเสี่ยงเงินฝืดเพิ่มขึ้น ขณะที่บาร์และร้านอาหารอ่อนแรง

บทสัมภาษณ์เจ้าของร้านอาหารขนาดเล็กในเขตอาซากุสะ กรุงโตเกียว กล่าวถึง การระบาดของไวรัสโคโรนาเปรียบเสมือนฝันร้ายที่ต้องเผชิญกับยอดขายที่ตกลงและเข้าสู่สถานการณ์ที่ยากลำบากในเวลานี้

ขณะที่อีกหลายๆแห่งไม่ว่าจะเป็นร้านค้า, ร้านอาหารกลางวัน ร้านอาหารเย็นพบว่าอุปสงค์จากกลุ่มคนงานภาคธุรกิจร่วงลงอย่างแรงจากนโยบายการให้ทำงานที่บ้านตามที่รัฐบาลร้องขอ

ดังนั้น จึงไม่แปลกใจว่ายอดขายจะตกลงอย่างรวดเร็วกว่าช่วงเกิดวิกฤตการเงินของโลก และทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจญี่ปุ่นมีแนวโน้มที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอยเป็นที่เรียบร้อยจากมาตรการ Social Distancing ที่กระบตั้งแต่ภาคขนส่ง ภาคค้าปลีก, และการท่องเที่ยวเป็นการชั่วคราว

บรรดานักเศรษฐศาสตร์ กล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า การระบาดทำให้เราต้องเผชิญความเสี่ยงด้านเงินฝืดในญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น ท่ามกลางประชาชนที่กักตัวอยู่ที่พักอาศัย และมีการใช้จ่ายที่ลดน้อยลง

· การระบาดของไวรัสโคโรนาที่ส่งผลให้เกิดการ Shutdown ในภาคบริษัทของออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ที่บังคับให้ภาคบริษัทต้องมีการปรับแผนและมีคนตกงานนับพันราย และมีพนักงานหลายคนที่ยังไม่มั่นใจต่อสถานการณ์ของตนเอง

โดยภาพรวมมีคนว่างงานชั่วคราวกว่า 100,000 รายจึงยิ่งตอกย้ำว่าการ ระบาดของไวรัสโคโรนาสร้างผลเสียต่อการดำเนินธุรกิจ ขณะที่บรรดานักเศรษฐศาสตร์ต่างคาดการณ์ว่าวิกฤตดังกล่าวจะนำพาให้อัตราว่างงานเพิ่มขึ้นสูงกว่า 11%และสูงที่สุดในรอบกว่า 3 ทศวรรษ

· Bank of America เผยผลประกอบการไตรมาสแรกดิ่งลงกว่า 45% หรือคิดเป็นมูลค่า 3.6 พันล้านเหรียญ โดยมีสาเหตุหลักจากการระบาดของไวรัสโคโรนา หรือคิดเป็น 40 เซนต์ต่อหุ้น น้อยกว่าที่บรรดานักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้

· ค่าเงินดอลลาร์ยังแข็งค่าได้ต่อเนื่องในฐานะ Safe-Haven เมื่อเท่ียบกับสกุลเงินหลักส่วนใหญ่ โดยตลาดตอบรับกับข้อมูลยอดค้าปลีกและโรงงานสหรัฐฯที่ออกมาแย่ลง และทำให้ตอกย้ำถึงการที่เศรษฐกิจสหรัฐฯได้รับผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโคโรนา

ดัชนีดอลลาร์ปรับแข็งค่าขึ้น 0.2% ที่ 99.831 จุด และทำให้ภาพสัปดาห์นี้กลับมาเป็นบวก ในขณะที่ค่าเงินยูโรอ่อนค่าลง 0.25% ที่ 1.0881 ดอลลาร์/ยูโร โดยร่วงลงจากสูงสุดรอบ 2 สัปดาห์ที่ทำไว้ที่ 1.0980 ดอลลาร์/ยูโร ทางด้านเงินเยนอ่อนค่าเพิ่ม 0.4% ที่ 107.86 เยน/ดอลลาร์

ค่าเงินปอนด์อ่อนค่าลง 0.2% ที่ 1.2482 ดอลลาร์/ปอนด์ หลังปรับตัวลงไปเกือบ 1%

หัวหน้านักวิเคราะห์ค่าเงินจาก Tokyo Branch of State Street กล่าวว่า ดอลลาร์ยังเคลือนไหวตอบรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ออกมาแย่ แต่ภาพรวมน่าจะเป็นผลระยะสั้นๆ เนื่องจากดูจะเข้าสู่ภาวะ Hot Money และไม่น่าจะส่งผลให้นักลงทุนเลือกเทรดทำกำไรเท่าไหร่นักในเวลานี้

· จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ของสหรัฐฯถูกคาดว่าจะปรับตัวขึ้นและทำให้ภาพรวมตลอดเดือนมีจำนวนคนว่างงานพุ่งขึ้นสูงกว่า 20 ล้านราย และอาจยิ่งตอกย้ำถึงภาวะการชะลอตัวทางเศรษฐกิจจากการระบาดของไวรัสโคโรนา ท่ามกลางยอดค้าปลีกของสหรัฐฯในเดือนมี.ค. วานนี้ ที่ออกมาแย่ที่สุดเป็นประวัติการณ์ รวมถึงยอดผลผลิตที่แย่ที่สุดตั้งแต่ปี 1946

นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่มีการคาดการณ์ทิศทางเศรษฐกิจที่เชื่อว่าจะเข้าสู่ภาวะถดถอย จากการหดตัวลงในไตรมาสแรกที่มากที่สุดตั้งแต่ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2

นักเศรษฐศาสตร์จาก Goldman Sachs คาดว่า ยอดผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานที่จะเปิดเผยจะมีอัตราการว่างงานที่เพิ่มขึ้นจากพนักงานที่ถูกพักงานในช่วง Shutdown และเมื่อรวมกับยอดล่าสุดที่เพิ่งผ่านมาจะเห็นคนว่างงานนั้นเพิ่มขึ้นเกิน 20 ล้านรายตลอดจนสิ้นเดือนพ.ค. และจะถือเป็นการว่างงานที่เพิ่มขึ้นมากที่สุดตั้งแต่เคยเข้าสู่ภาวะถดถอยมา

· ราคาน้ำมันดิบปรับขึ้นวันนี้หลังทำต่ำสุดรอบ 18 ปีจากแนวโน้มอุปสงค์ที่ยังคงเป็นปัจจัยกดดันราคา โดยการปรับขึ้นในวันนี้มาจากกลุ่มนักลงุทนที่คาดหวังว่าสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯในระดับสูงจะเป็นปัจจัยที่ทำให้ผู้ผลิตต่างๆในสหรัฐฯมีทางเลือกไม่มากนักและจำเป็นต้องทำการหั่นการปรับลดกำลังการผลิต จากไวรัสโคโรนาที่ส่งผลกระทบต่ออุปสงค์น้ำมันในเวลานี้

ภาพรวมที่ข้อมูลสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯปรับตัวขึ้นไปทำสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์นั้นได้กดดันให้น้ำมันดิบ WTI วานนี้ปิดทำต่ำสุดตั้งแต่ก.พ. ปี 2002 และ Brent ร่วงลงไปกว่า 6%

ขณะที่วันนี้ Brent รีบาวน์ได้ 25 เซนต์ หรือ +0.9% ที่ระดับ 27.94 เหรียญ/บาร์เรล ทางด้านน้ำมันดิบ WTI ปรับขึ้น 14 เซนต์ หรือ +0.7% ที่ 20.01 เหรียญ/บาร์เรล

ความกังวลเกี่ยวกับอุปสงค์น้ำมันที่จะทรุดตัวลงได้จำกัดการปรับขึ้นของราคาทองคำ โดยที่สัญญาน้ำมันดิบวันนี้ปรับขึ้นได้มากกว่า 2.5% ในช่วงต้นตลาดเมื่อเทียบกับข้อมูลการเคลื่อนไหววานนี้

EIA เผยข้อมูลสต็อกน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้นเกินคาด แม้ว่าการจัดการการกลั่นน้ำมันจะคิดเป็น 69% ของสหรัฐฯที่ถือเป็นต่ำสุดตั้งแต่ก.ย. ปี 2008 ก็ตาม

บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com