• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคค่ำ) ประจำวันที่ 13 เมษายน 2563

    13 เมษายน 2563 | Economic News

สถานการณ์ไวรัสโคโรนา

- จำนวนผู้ติดเชื้อทั่วโลกล่าสุดอยู่ที่ 1,857,310 ราย

- จำนวนผู้เสียชีวิตทั่วโลกล่าสุดอยู่ที่ 114,340 ราย

- จำนวนประเทศติดเชื้อทั่วโลกล่าสุดอยู่ที่ 210 ประเทศ และติดเชื้อบนเรือสำราญ 2 ลำ ได้แก่ Diamond Princess และล่าสุด Holland America’s MS Zaandam

- จำนวนผู้ติดเชื้อในสหรัฐฯอยู่ลำดับที่ 1 ของโลก ล่าสุดมีผู้ติดเชื้อรวมที่ 560,433 ราย (+133) และยอดผู้เสียชีวิตที่ปรับตัวขึ้นมาเป็นอันดับที่ 1 ของโลกด้วยจำนวนทั้งหมด 22,115 ราย (+10)

- จำนวนผู้ติดเชื้อในสเปนปรับตัวขึ้นมาอยู่อันดับที่ 2 ของโลก ล่าสุดมีผู้ติดเชื้อที่ 166,831 ราย ขณะที่ผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 17,209 ราย

- จำนวนผู้ติดเชื้อในอิตาลีอยู่ที่ระดับ 156,363 ราย ขณะที่ผู้เสียชีวิตรวมแล้วทั้งสิ้น 19,899 ราย

- จำนวนผู้ติดเชื้อในไทยล่าสุดเพิ่มอีก 28 ราย รวมผู้ติดเชื้อสะสมอยู่ที่ 2,579 ราย และมีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 2 ราย รวมสะสม 40 ราย


· รายงานจาก CTF ระบุว่านักลงทุนมีการถือครองสถานะ Short ในดอลลาร์มากที่สุดในรอบเกือบ 2 ปี คิดเป็นมูลค่ามากถึง 1.05 หมื่นล้านเหรียญเมื่อสัปดาห์ก่อน เทียบกับ 9.9 พันล้านเหรียญในสัปดาห์ก่อนหน้า และยังเป็นการถือครองสถานะ Short มากกว่าสถานะ Long ติดต่อกันถึง 4 สัปดาห์


· สกุลเงินที่เชื่อมโยงกับสินค้าโภคภัณฑ์ต่างอ่อนค่าลงในวันนี้ เมื่อเทียบกับสกุลเงิน Safe-haven อย่างดอลลาร์และเยน แม้ว่าทางกลุ่ม OPEC+ จะสามารถหาข้อตกลงเกี่ยวกับการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันได้สำเร็จ แต่ไม่สามารถช่วยฟื้นความเชื่อมั่นของตลาดน้ำมันได้

โดยค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ที่เป็นสินทรัพย์เสี่ยง จึงเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงความต้องการสินทรัพย์เสี่ยงที่ยังคงอ่อนแอ

การซื้อขายในวันนี้มีแนวโน้มที่จะยังค่อนข้างเบาบางเนื่องจากตลาดการเงินในออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ฮ่องกง และอังกฤษ ยังคงปิดทำการเนื่องในเทศกาล Easter

สำหรับค่าเงินเยนเมื่อเทียบกับดอลลาร์ ปรับขึ้น 0.62% แถว 107.83 เยน/ดอลลาร์ และปรับขึ้นมาได้มากกว่า 0.5% เมื่อเทียบกับดอลลาร์ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์

ส่วนค่าเงินดอลลาร์เมื่อเทียบกับยูโรแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยแถว 1.0950 ดอลลาร์/ยูโร

ค่าเงินปอนด์แข็งค่า 0.3% แถว 1.2509 ดอลลาร์/ปอนด์ หลังมีรายงานเกี่ยวกับการฟื้นตัวของนายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรี และได้รับการปล่อยตัวออกจากโรงพยาบาลแล้ว





· EUR/USD Price Analysis: ค่าเงินยูโรทดสอบไม่ผ่าน 1.0950

บทวิเคราะห์จาก FX Street ระบุว่าค่าเงินยูโรล้มเหลวในการพยายามปรับตัวสูงขึ้นอีกครั้ง หลังจากทดสอบไม่ผ่านแนวต้านสำคัญที่ 1.0950 ดอลลาร์/ยูโร และย่อตัวลงมาแถว 1.0933 ดอลลาร์/ยูโร ในช่วงสายของตลาดเอเชียวันนี้

การที่ค่าเงินทดสอบไม่ผ่านสำคัญติดต่อกันหลายครั้ง เป็นการลบล้างสัญญาณของทิศทางขาขึ้นและระยะสั้นที่มีเส้นเทรนระหว่างวันที่ 3 มี.ค. และ 27 มี.ค. ขณะที่เส้น RSI ราย 14 วันกำลังเคลื่อนไหวแถวรดับ 50 จุด บ่งชี้ถึงแนวโน้มการเคลื่อนไหวออกด้านข้างหรือ Sideways

ทั้งนี้ หากค่าเงินย่อตัวหลุดระดับสำคัญทางจิตวิทยาที่ 1.09 ดอลลาร์/ยูโร ลงมา ค่าเงินจะโอกาสย่อตัวลงต่อไปถึงระดับ 1.0882 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับที่เส้นค่าเฉลี่ย50 และ 100 ช.ม. มาบรรจบกัน

อีกฝั่งหนึ่ง หากค่าเงินยืนเหนือระดับ 1.0950 ดอลลาร์/ยูโร ไปได้ แนวโน้มทิศทางขาขึ้นจะกลับมา และมีโอกาสที่จะขึ้นต่อไปยังระดับ 1.10 ดอลลาร์/ยูโร


· Goldman Sachs คาดข้อตกลง OPEC+ ไม่เพียงพอกับการปรับสมดุลตลาดน้ำมัน

นักวิเคราะห์จาก Goldman Sachs มีมุมมองเกี่ยวกับข้อตกลงปรับลดกำลังการผลิตของกลุ่ม OPEC และพันธมิตรนำโดยซาอุดิอระเบียและรัสเซีย ที่ตกลงปรับลดกำลังการผลิตลง 9.7 ล้านบาร์เรล/วัน เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ว่าข้อตกลงดังกล่าวจะไม่เพียงพอสำหรับการปรับสมดุลตลาดน้ำมัน เนื่องจากข้อตกลงดังกล่าวเกิดขึ้นช้าเกินไปและอัตราการปรับลดกำลังการผลิตก็ค่อนข้างต่ำเกินไป ขณะที่ปริมาณสต็อกน้ำมันของแต่ละประเทศก็อยู่ในระดับสูง พร้อมย้ำเตือนว่าปัจจัยที่จะช่วยปรับสมดุลตลาดได้อย่างแท้จริง คือการที่ราคาน้ำมันตกต่ำลงไปถึงระดับหนึ่ง


· JP Morgan คาดเศรษฐกิจสหรัฐฯ Q2 หดตัว 40%

JP Morgan เผนคาดการณ์ฉบับล่าสุด โดยประเมินว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯในไตรมาสที่ 2/2020 (เม.ย. – มิ.ย.) มีแนวโน้มที่จะชะลอการเติบโตลง 40% ท่ามกลางผลกระทบจากการจ้างงานที่อ่อนแอลงอย่างมากเนื่องจากการระบาดของไวรัสโคโรนา เทียบกับคาดการณ์เดิมเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อนที่คาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯไตรมาส 2 จะหดตัว 25%


· รายงานจาก Bloomberg ระบุว่ารัฐบาลอินเดียกำลังพิจารณากลับมาเปิดธุรกิจบางส่วนท่ามกลาวภาวะ Lockdown ในประเทศ เพื่ออนุมัติให้ธุรกิจบางประเภทสามารถดำเนินกิจการได้ โดยจะยังคงห้ามไม่ให้เปิดธุรกิจใหม่เพื่อป้องกันการสูญเสียการจ้างงาน

ทั้งนี้ รายงานยังระบุถึงธุรกิจที่ควรได้รับอนุมัติให้สามารดำเนินธุรกิจท่ามกลางภาวะ Lockdown ได้ มีดังต่อไปนี้ :

- อุปกรณ์ไฟฟ้าสำคัญอย่างหม้อแปลงและวงจรไฟฟ้าของรถยนต์

- อุปกรณ์สื่อสาร และชิ้นส่วนสำคัญจำพวกออฟติกไฟเบอร์และตัวแปลงสัญญาณ

- อุตสาหกรรมเหล็กและโลหะผสม

- หน่วยงานการกลาโหม

- อุตสาหกรรมกระดาษ

- อุตสาหกรรมปุ๋ยสำหรับเกษตรกรรม

- อุตสาหกรรมสีทาบ้านและสีผสมอาหาร

- อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มทุกประเภท

- อุตสาหกรรมเมล็ดพันทางการเกษตร

- อุตสาหกรรมพลาสติก

- อุตสาหกรรมรถยนต์

- อุตสาหกรรมเพชรพลอย

- หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษ

- อุตสาหกรรมก่อสร้างที่พักอาศัย

- อุตสาหกรรมยางที่เกี่ยวข้องกับเครื่องมือการแพทย์

- อุตสาหกรรมไม้ที่เป็นส่วนประกอบของเวชพันธุ์

- อุตสาหกรรมสินค้าโภคภัณฑ์


· ราคาน้ำมันปรับขึ้นได้มากกว่า 1 เหรียญ หลังจากมีรายงานว่ากลุ่ม OPEC+ สามารถหาจข้อตกลงเกี่ยวกับการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันลงได้ในที่สุด แต่ยังมีความกังวลว่ามาตรการดังกล่าวอาจไม่เพียงพอต่อการปรับสมดุลตลาดที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของไวรัส จนทำให้ปริมาณอุปสงค์ในน้ำมันตกต่ำลงอย่างมาก

โดยราคาสัญญาน้ำมันดิบ Brent ปรับขึ้น 1.29 เหรียญ หรือประมาณ 4.1% แถว 32.77 เหรียญ/บาร์เรล ในช่วงต้นตลาดทำระดับสูงสุดที่ 33.99 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ราคาสัญญาน้ำมันดิบ WTI ปรับขึ้น 1.01 เหรียญ หรือประมาณ 4.4% แถว 23.77 เหรียญ/บาร์เรล ระหว่างวันทำระดับสูงสุดที่ 24.74 เหรียญ/บาร์เรล

นักวิเคราะห์จาก IHS Markit มองว่าข้อตกลงของกลุ่ม OPEC+ เป็นการช่วยเหลืออุตสาหกรรมน้ำมันหรือประเทศที่พึ่งพาการส่งออกน้ำมันทั่วโลกให้สามารถรอดพ้นจากภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจไปได้ ด้วยการชะลอการก่อตัวของปริมาณน้ำมันในสต็อก ซึ่งจะทำให้ราคาน้ำมันไม่ถูกกดดันมากนักเมื่อตลาดกลับเข้าสู่ภาวะปกติ แต่จะกลับมาเมื่อไหร่นั้น ยังไม่สามารถทราบได้เป็นที่แน่นอน





· WTI Price Analysis: ราคาน้ำมันเคลื่อนไหวแดนบวกใกล้เส้นแนวรับ

บทวิเคราะห์จาก FX Street ระบุว่าราคาน้ำมัน WTI กำลังเคลื่อนไหวแดนบวกประมาณ 3.2% แถวระดับ 23.85 เหรียญ/บาร์เรล ในช่วงก่อนเปิดตลาดยุโรปวันนี้

โดยราคาน้ำมันดูจะมีเป้าหมายสำหรับฝั่งขาขึ้นอยู่ที่ระดับ 38.2% และ 50% Fibonacci retracements หรือที่ระดับ 25.60 และ 27.65 เหรียญ/บาร์เรล ตามลำดับ

อย่างไรก็ตาม โอกาสที่ราคาจะปรับขึ้นต่อดูจะมีค่อนข้างจำกัด เนื่องจากถูกกดดันโดยเส้นเทรนขาลงตั้งแต่วันที่ 16 มี.ค. ที่ระดับ 28.05 เหรียญ/บาร์เรล รวมถึงสัญญาณ MACD ที่บ่งชี้ถึงทิศทางขาลง

อีกด้านหนึ่ง ระดับ 23.6% Fibonacci retracement ที่ระดับ 23.00 เหรียญ/บาร์เรล จะทำหน้าที่เป็นแนวรับระยะสั้น และแนวรับถัดไปที่ระดับ 22.15 เหรียญ/บาร์เรล และหากราคาหลุดต่ำกว่าแนวรับ 22.15 กับ 20.00 เหรียญ/บาร์เรล จะมีโอกาสปรับลงต่อไปถึงระดับ 19.00 เหรียญ/บาร์เรล


บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com