• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 7 เมษายน 2563

    7 เมษายน 2563 | Economic News

· สถานการณ์ไวรัสโคโรนา:

- จำนวนผู้ติดเชื้อทั่วโลกล่าสุดอยู่ที่ 1,344,859 ราย

- จำนวนผู้เสียชีวิตทั่วโลกล่าสุดอยู่ที่ 74,635 ราย

- จำนวนประเทศติดเชื้อทั่วโลกล่าสุดอยู่ที่ 209 ประเทศและติดเชื้อบนเรือสำราญ 2 ลำ ได้แก่ Diamond Princess และล่าสุด Holland America’s MS Zaandam

- จำนวนผู้ติดเชื้อในสหรัฐฯอยู่ลำดับที่ 1 ของโลก ล่าสุดมีผู้ติดเชื้ออยู่ที่ 366,112 ราย (+29,439) และมีผู้เสียชีวิตสู่ระดับ 10,859 ราย (+1,243)

- จำนวนผู้ติดเชื้อในอิตาลีเพิ่มขึ้นแตะระดับ 132,547 ราย (+3,599) ขณะที่ผู้เสียชีวิตรวมแล้วทั้งสิ้น 13,341 ราย (+700)

- จำนวนผู้ติดเชื้อในไทยล่าสุดเพิ่มอีก 51 ราย รวมผู้ติดเชื้อสะสมอยู่ที่ 2,220 ราย และมีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 3 ราย รวมสะสม 26 ราย



- นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวว่ากำลังมีการพิจารณาการอัดฉีดเม็ดเงินโดยตรงจากภาครัฐสู่ประชาชน ภายใต้กระบวนการพิจารณาในเรื่องการเยียวยาและลดผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโคโรนา

- ขณะที่รายงานจาก CNN ระบุว่า ระยะเวลาเพียง 6 สัปดาห์ก็มีผู้เสียชีวิตเพิ่มมากขึ้นจากไวรัสโคโรนาแตะ 10,000 รายในวันจันทร์ที่ผ่านมา ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญต่างๆ ออกมาตือนว่าสัปดาห์นี้อาจเป็นสัปดาห์ที่เลวร้ายมากขึ้น ท่ามกลางโรงพยาบาลมิชิแกนตลอดช่วง 3-6 วันนี้เริ่มขาดแคลนอุปกรณ์ทางการแพทย์

ในส่วนของห้องดับจิตในรัฐนิวออร์แลนด์ก็ไม่มีที่เพียงพอ จนผู้ว่าการรัฐต้องเร่งช่วยเหลือในการจัดเตรียมสถานที่ฟรีซศพเพิ่ม

เลขาธิการกระทรวงสุขภาพและสวัสดิการของสหรัฐฯ เผยว่า โดยเฉพาะในนิวยอร์ก, นิวเจอร์ซี และดีทรอยด์ ถือว่าเข้าสู่จุดพีคสุดของโรงพยาบาลแล้ว รวมทั้งผู้เสียชีวิตที่ดูจะเพิ่มจำนวนขึ้นในสัปดาห์นี้ และคาดว่าสหรัฐฯจะเผชิญจุดพีคสุดของการระบาดของไวรัสโคโรนาในช่วง 2-3 สัปดาห์จากนี้

- ดร.แอนโทนี เฟาซี ที่ปรึกษาและแพทย์มือหนึ่งของสหรัฐฯ กล่าวว่า โลกจะไม่สามารถกลับสู่ภาวะปกติได้ก่อนเกิดการระบาดของไวรัส โดยจะเห็นได้จากในช่วงเวลาเพียง 3 เดือน การระบาดของไวรัสก็ครอบคลุมไปทั่วโลกและมีผู้ติดเชื้อเกินกว่า 1.3 ล้านราย และภายภาคหน้าการดำเนินชีวิตก็จะแตกต่างออกไป เนื่องจากต้องมีการเข้มงวดและเอาจริงเอาจังในการระมัดระวังมากขึ้น

- องค์การอนามัยโลกหรือ WHO เรียกร้องให้นานาประเทศมีการเร่งเพิ่มตำแหน่งงานทางการแพทย์และพยาบาลให้มากขึ้นอีกกว่า 6 ล้านคนภายในปี 2030 เพื่อชดเชยกับการขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ทั่วโลก และสามารถรองรับกับบุคลากรทางการแพทย์ที่ทำงานกันอย่างหนักเพื่อต่อสู้กับไวรัสโคโรนา

- รายงานล่าสุดจากจีนพบว่า เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมามียอดผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้น 39 ราย จากที่เพิ่มขึ้นมา 30 รายในวันเสาร์ โดยจะเห็นว่ายอดผู้ติดเชื้อค่อยๆเพิ่มขึ้นอีกแล้ว แม้ว่าก่อนหน้านี้จีนจะมีการควบคุมการระบาดได้เป็นอย่างดีที่สุดแล้ว

ขณะที่เมื่อวานนี้คณะกรรมาธิการด้านสุขภาพแห่งชาติขอจีน เผยว่า สิ่งที่น่าเป็นกังวลคือจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ 78 รายไม่แสดงอาการใดๆ เมื่อเทียบกับเคสก่อนๆนี้ ทำให้ผู้อำนวยการหน่วยงานดังกล่าวแสดงความเป็นกังวลต่อมาตรการเข้มงวดของจีนที่ช่วยชะลอการระบาดของจีนก่อนหน้าอาจไม่สามารถจัดการกับกรณีใหม่ๆได้

ทั้งนี้ ยอดผู้ติดเชื้อใหม่ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนที่กลับเข้าสู่ประเทศในมณฑลเสิ่นเจิ้น และกวางโจว

- ญี่ปุ่นประกาศภาวะฉุกเฉินในกรุงโตเกียวและอีก 6 เขตเพื่อยับยั้งการระบาดของไวรัสโคโรนา ท่ามกลางภาครัฐที่เตรียมอัดฉีดเม็ดเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยวงเงินกว่า 9.9 แสนล้านเหรียญ

· นายเจอโรม โพเวลล์ ประธานเฟด มีกำหนดการกล่าวถ้อยแถลงอัพเดตมุมมองเศรษฐกิจในวันนี้ประมาณ 4 ทุ่มตามเวลาไทยผ่านทาง Webcast โดยสถาบัน Brookings Institution ในคืนวันพฤหัสบดี

· ในคืนวันศุกร์ค่าเงินดอลลาร์ไม่ได้ตอบรับกับข่าวข้อมูลภาคแรงงานสหรัฐฯที่ออกมาแย่นัก โดยดัชนีดอลลาร์ยังปรับแข็งค่าอีก 0.6% และสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับแข็งค่าได้รวม 2.5% จากกลุ่มนักลงทุนที่ต้องการถือเงินสดนับตั้งแต่ก่อนที่เฟดจะประกาศช่วยเสริมสภาพคล่องตลาด

ด้านยุโรปปิดอ่อนค่าลง 0.6% ที่ 1.0787 ดอลลาร์/ยูโร ในขณะที่สัปดาห์ที่แล้วอ่อนค่ามากถึง 3.1%

เมื่อคืนนี้ ค่าเงินดอลลาร์ยังคงทรงตัวเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักส่วนใหญ่ แต่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินเยน จากกลุ่มนักลงทุนที่กำลังพิจารณาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอัตราการเสียชีวิตในยุโรปที่มีอัตราชะลอตัวลง ขณะที่ในญี่ปุ่นและประเทศแถบเอเชียมีอัตราการเสียชีวิตเพิ่มขึ้น และสภาวะดังกล่าวทำให้เกิด “Risk-on” ในตลาดอีกครั้ง จึงเห็นเยนอ่อนค่าลง 0.7% ที่ 109.38 เยน/ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับอ่อนค่ามากที่สุดในรอบ 10 วันทำการ ด้านค่าเงินยูโรทรงตัวที่ 1.0805 ดอลลาร์/ยูโร ด้านดัชนีดอลลาร์ก็ค่อนข้างทรงตัวที่ 100.68 จุด

· ราคาน้ำมันดิบวันศุกร์ปิดปรับขึ้น โดยเหล่าเทรดเดอร์จับตาความเป็นไปได้ของข้อตกลงการปรับลดการผลิต หลังนายโดนัลด์ ทรัมป์ ปธน.สหรัฐฯ หวังจะเห็นการปรับลดของซาอุฯ-รัสเซีย อย่างน้อย 10 ล้านบาร์เรลในเร็วๆนี้ หลังจากทร่ซาอุฯ มีการเรียกประชุม OPEC ฉุกเฉินเมื่อไม่นานมานี้

BRENT ปิดปรับขึ้น 2.75 เหรียญ หรือ +9% ที่ 32.69 เหรียญ/บาร์เรล

WTI ปิดปรับขึ้น 1.13 เหรียญ หรือ +4.5% ที่ 26.45 เหรียญ

เมื่อวันเสาร์ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ขู่จะเพิ่มภาษีนำเข้าน้ำมัน เพื่อปกป้องแรงงานภาคพลังงานสหรัฐฯ จากราคาน้ำมันที่ได้รับผลกระทบจาก Price War ระหว่างซาอุฯ และรัสเซีย

เมื่อคืนนี้ ราคาน้ำมันปิดปรับตัวลดลงหลังจากที่ซาอุดิอาระเบียและรัสเซียเลื่อนการเข้าประชุมกลุ่มผู้ผลิตน้ำมันในการหาทางออกเรื่องการร่วงลงของอุปสงค์น้ำมันจากไวรัสโคโรนา โดยเลื่อนกำหนดการประชุมจากเมื่อวานออกไปในวันพฤหัสบดีแทน ขณะเดียวกันสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯในรัฐโอกลาโฮมาก็ปรับขึ้นแตะกว่า 5.8 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้วจึงยิ่งเป็นปัจจัยที่กดดันตลาด

นอกจากนี้ รายงานจาก EIA ที่จะเปิดเผยสัปดาห์นี้ดูจะมีความเป็นไปได้มากขึ้นที่จะเห็นรายงานสต็อกน้ำมันดิบในสัปดาห์ที่แล้วยังคงปรับตัวขึ้นต่อเนื่องเป็นวันสัปดาห์ที่ 5 และมีแนวโน้มจะเป็นสัปดาห์ที่มีการเพิ่มขึ้สูงสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่ปี 2004

น้ำมันดิบ Brent ปิด -1.06 เหรียญ หรือ -3.1% ที่ 33.05 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่น้ำมันดิบ WTI ปิดปรับลง 2.26 เหรียญ หรือ -0.8% ที่ 26.08 เหรียญ/บาร์เรล

นักวิเคราะห์บางฝ่ายมองกว่า การเลื่อนประชุม OPEC+ ออกไป ได้กระตุ้นให้ตลาดเผชิญแรงเทขายออกมาวานนี้ ท่ามกลางทุกฝ่ายที่รอดูผลว่าซาอุฯ และรัสเซียจะดำเนินการกับข้อคิดเห็นที่แตกต่างกันเช่นไร

· สถาบัน Fitch Solutions เผยว่า น้ำมันดิบ Brent อาจร่วงลงได้อีกแบบ “Single-digit lows” หรือกว่า 10% หากบรรดากลุ่มผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ยังคงล้มเหลวในการบรรลุข้อตกลงร่วมกันเพื่อรับมือกับภาวะอุปสงค์ที่อ่อนแอ ขณะที่การหมดอายุของข้อตกลงการปรับลดกำลังการผลิตที่สิ้นสุดในเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา สื่อถึงการที่กลุ่มผู้ผลิตน้ำมันจะมีเสรีในการเพิ่มกำลังการผลิตของตนเองในเดือนเม.ย.นี้ ที่มีแนวโน้มว่าซาอุฯ, รัสเซีย และสาธารณรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ดูจะมีความตั้งใจเช่นนั้น

นักวิเคราะห์จาก Fitch ประเมินว่า การร่วงลงของอุปสงค์และการเพิ่มขึ้นของอุปทานน้ำมัน จะทำให้เราเห็นน้ำมันล้นตลาดได้มากกว่า 20 ล้านบาร์เรล/วันเลยทีเดียว


· รายงานจากรอยเตอร์ส ระบุว่า แหล่งข่าววงใน 3 คนเผยที่ประชุม OPEC+ มีแนวโน้มว่าจะสามารถบรรลุข้อตกลงการปรับลดกำลังการผลิตร่วมกันได้ โดยในที่นี้กล่าวรวมถึงซาอุฯ และรัสเซียด้วยท่ามกลางความพยายามของสหรัฐฯอีกหนึ่งแรงผลักดันสำคัญ ซึ่งหนึ่งในแหล่งข่าวยังกล่าวอีกว่า หากปราศจากสหรัฐฯ ข้อตกลงนี้ก็อาจไม่เกิดขึ้นก็เป็นไปด้

ทั้งนี้ อุปสงค์น้ำมันทั่วโลกปรับตัวลดลงไปแล้วประมาณ 30% หรือประมาณ 30 ล้านบาร์เรล/วัน

ด้านแหล่งข่าวอีก 2 ราย เผยว่า การประชุมของ OPEC+ จะถูกจัดขึ้นในวันพฤหัสบดี โดยเป็นการประชุมร่วมกันผ่านวิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์


บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com