สถานการณ์ไวรัสโคโรนา:
- จำนวนผู้ติดเชื้อทั่วโลกล่าสุดอยู่ที่ 536,820 ราย
- จำนวนผู้เสียชีวิตทั่วโลกล่าสุดอยู่ที่ 24,117 ราย
- จำนวนประเทศที่ติดเชื้อทั่วโลกล่าสุดอยู่ที่ 199 ประเทศ
- จำนวนผู้ติดเชื้อในสหรัฐฯเพิ่มขึ้นต่อเนื่องมาเป็นอันดับที่ 1 ของโลกนำจีนและอิตาลี โดยล่าสุดมีผู้ติดเชื้อรวมอยู่ที่ 85,612 ราย และมีผู้เสียชีวิต 1,301 ราย
- จำนวนผู้ติดเชื้อในอิตาลีเพิ่มขึ้นแตะระดับ 80,589 ราย ขณะที่ผู้เสียชีวิตรวมแล้วทั้งสิ้น 8,215 ราย
- จำนวนผู้ติดเชื้อในไทยล่าสุดเพิ่มอีก 91 ราย รวมผู้ติดเชื้อสะสมอยู่ที่ 1,136 ราย และมีผู้เสียชีวิตสะสม 5 ราย
· G20 จะร่วมกันอัดฉีดเงินเข้าสู่เศรษฐกิจโลก 5 ล้านล้านเหรียญ เพื่อต่อสู้กับไวรัส
การประชุมระหว่างบรรดาผู้นำประเทศกลุ่ม G20 เมื่อวานนี้ บรรดาผู้นำมีการตกลงที่จะร่วมกันอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่เศรษฐกิจโลกเป็นมูลค่ารวมกว่า 5 ล้านล้านเหรียญ เพื่อช่วยพยุงไม่ให้ประชาชนสูญเสียงานหรือรายได้จากผลกระทบของไวรัส COVID-19 พร้อมยืนยันว่า “จะใช้ทุกวิถีทางเพื่อก้าวข้ามวิกฤติครั้งนี้”
การประชุม G20 เมื่อวานเป็นการแสดงความสามัคคีระหว่างประเทศที่เห็นได้ชัดที่สุดนับตั้งแต่กลุ่ม G20 ได้การรับการแต่งตั้งขึ้นมาในสมัยวิกฤติทางเศรษฐกิจปี 2008-2009 และบรรดาผู้นำยังตกลงที่จะพัฒนาระบบการแพทย์ของแต่ละประเทศให้เพียงพอสำหรับการชะลอการระบาดของไวรัส
อย่างไรก็ตาม บรรดาผู้นำยังไม่สามารถตกลงกันที่จะยกเลิกมาตรการกีดกันการนำเข้าอุปกรณ์ทางการแพทย์ในบางประเทศได้ โดยระบุว่าประเด็นจำเป็นต้องได้รับการเจรจาที่ชัดเจนกว่านี้ เพื่อหลีกผลลัพธ์ที่ไม่พึงประสงค์
· จีนรายงานพบผู้ติดเชื้อ 1 รายที่มาจากภายในประเทศเป็นครั้งแรกในรอบ 3 วัน ขณะที่ผู้ติดเชื้อที่มาจากต่างประเทศมีเพิ่มขึ้น 54 ราย น้อยกว่ายอดเมื่อวานที่ 67 ทำให้ยอดรวมผู้ติดเชื้อในประเทศจีนเพิ่มขึ้นเป็น 81,340 ราย ขณะที่มีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 5 รวมเป็น 3,292 ราย
· นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ล่าสุดออกมายอมรับว่าจะพิจารณาแนวคิดเปิดเศรษฐกิจใหม่อีกครั้ง หลังจากที่ยอดผู้ติดเชื้อในสหรัฐฯพุ่งสูงขึ้นนำหน้าอิตาลีและจีนกลายเป็นประเทศที่มีผู้ติดเชื้อสูงที่สุดในโลกไปแล้ว
โดยในช่วงสัปดาห์นี้ นายทรัมป์ได้เคยกล่าวว่าจะกลับมาเปิดเศรษฐกิจอีกครั้งหลังจากสิ้นสุดภาวะ Lockdown 15 วันภายในสัปดาห์หน้า
· นายทรัมป์เปิดเผยว่าเขาได้มีการพูดคุยกับนายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน เมื่อเร็วๆนี้ เกี่ยวกับข้อมูล “โดยละเอียด” ของ COVID-19 คร่าชีวิตค่าทั่วโลกไปแล้วกว่า 24,000 ราย
ขณะที่สำนักข่าวในประเทศจีนระบุว่าทั้งนี้ผู้สองผู้นำมีการพูดคุยกันจริง โดยเป็นการพูดคุยผ่านทางโทรศัพท์ แต่ไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดของการพูดคุยดังกล่าวแต่อย่างใด
· นายทรัมป์ระบุว่าจะไม่ยกเลิกการประชุมพรรครีพับลิกันระดับชาติที่จะจัดขึ้นในเมืองชาร์ล็อต รัฐนอร์ทแคโลไรนา ที่มีกำหนดการไว้ในเดือน ส.ค. นี้เพราะการระบาดของ COVID-19 แต่อย่างใด
· นายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน เรียกร้องให้ผู้นำประเทศกลุ่ม G20 ร่วมมือกันทางเศรษฐกิจเพื่อรับมือกับการระบาดของ COVID-19 ผ่านการปรับลดภาษีและกำแพงทางการค้าระหว่างกันและกัน รวมถึงการผ่อนคลายนโยบายการเงินลงเพื่อทำให้กระแสการค้าขายทั่วโลกเป็นไปอย่างราบรื่นที่สุด
· แคนาดากล่าวโจมตีแนวคิดของสหรัฐฯ ที่ระบุว่าจะทำการเคลื่อนกำลังพลทหารไปยังพื้นที่ชายแดนของทั้งสองประเทศเพื่อช่วยควบคุมการระบาดของ COVID-19 โดยระบุว่าเป็นแนวคิดที่ไม่จำเป็น และอาจสร้างความเสียหายให้กับความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายได้
· แถลงการณ์จากกระทรวงสาธารณสุขแห่งสิงคโปร์ ระบุว่ารัฐบาลจะทำการปรับหรือจับกุมผู้ใดก็ตามที่รักษาระยะห่างจากคนอื่นเป็นระยะ 1 เมตร โดยจะมีโทษเป็นค่าปรับไม่เกิน 10,000 สิงคโปร์ดอลลาร์ (6,985 เหรียญ) หรือจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือทั้งจำและปรับ
· ค่าเงินดอลลาร์มีแนวโน้มปิดตลาดรายสัปดาห์อ่อนค่าลงด้วยอัตราที่มากที่สุดในรอบกว่าทศวรรษ ท่ามกลางการประกาศกระตุ้นเศรษฐกิจจากทั่วโลก ซึ่งรวมถึงนโยบายของสหรัฐฯเป็นวงเงินกว่า 2.2 ล้านล้านเหรียญ เพื่อรับมือกับผลกระทบของ COVID-19
ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงกว่า 1% เมื่อเทียบกับเงินเยนแถว 108.35 เยน/ดอลลาร์ หลังจากอ่อนค่าลงมากว่า 1.44% เมื่อคืน ส่วนหนึ่งมาจากการที่ผู้ประกอบการในญี่ปุ่นทำการส่งคืนสินทรัพย์ก่อนสิ้นสุดปีงบประมาณ ขณะที่ค่าเงินยูโรทรงตัวแถว 1.1041 ดอลลาร์/ยูโร หลังจากแข็งค่าขึ้นมา 1.40% เมื่อคืน
ค่าเงินปอนด์เป็นค่าเงินที่เคลื่อนไหวมากที่สุด โดยเมื่อคืนแข็งค่าขึ้นถึง 2.8% ก่อนจะย่อตัวลงบางส่วนในช่วงวันนี้ ล่าสุดเคลื่อนไหวแถว 1.2183 ดอลลาร์/ปอนด์
· นักวิเคราะห์จาก State Street Bank มองว่ากระแสคาดการณ์ที่ว่าจะมีคนตกงานเพิ่มขึ้นเป็นประวัติการณ์ในสหรัฐฯ เป็นปัจจัยที่กระตุ้นให้วุฒิสภาสหรัฐฯเร่งผ่านร่างนโยบายวงเงิน 2.2 ล้านล้านเหรียญ เพื่อไม่ให้ฝันร้ายที่เคยเกิดขึ้นเมื่อสมัยวิกฤติทางการเงินต้องเกิดขึ้นซ้ำรอย
และคาดว่าการลงมติร่างนโยบายดังกล่าวภายในสภาผู้แทนราษฎรก็จะสามารถผ่านไปได้เช่นกัน โดยอาจมีการลงมติอย่างเร็วที่สุดภายในคืนวันศุกร์นี้ หรือภายในวันเสาร์
· ด้านดัชนีดอลลาร์อ่อนค่าลงเมื่อคืนถึง 1.5% ซึ่งเป็นอัตราอ่อนค่ารายวันที่มากที่สุดในรอบเกือบ 4 ปี
สำหรับภาพรวมรายสัปดาห์มีแนวโน่มที่จะปรับอ่อนค่าลงประมาณ 3.1% จึงอาจเป็นการอ่อนค่ารายสัปดาห์ที่มากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2009 ตอกย้ำให้เห็นถึงความผันผวนของตลาดตลอดช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา
· ผลประกอบการของบริษัทอุตสาหกรรมจีนตกต่ำลงในช่วงสองเดือนแรกของปีนี้ ที่ระดับ 38.3 จากปีก่อนหน้านี้ที่ 410.7 พันล้านหยวน (58.15 พันล้านเหรียญ) โดยแย่ลงจากการร่วง 6.3% ในเดือนธ.ค.ปีที่แล้ว ซึ่งทำระดับต่ำที่สุดในรอบอย่างน้อยหนึ่งทศวรรษ
ขณะที่ภาคเหมืองแร่การผลิตและพลังงานต่างก็ปรับลดลงอย่างรุนแรงเนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา ส่งผลให้เศรษฐกิจของจีนแย่ลง
· ผลสำรวจจาก Reuters ระบุว่า ผลผลิตจากโรงงานของญี่ปุ่นประจำเดือนก.พ.มีแนวโน้มชะลอตัวลงและยอดค้าปลีกลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 5 เนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาที่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจและผู้บริโภค
· ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นในวันศุกร์เนื่องจากรัฐบาลทั่วโลกให้สนับสนุนเงินทุนจำนวนมากและมาตรการอื่นๆ เพื่อจำกัดการตกต่ำทางการเศรษฐกิจจากการระบาดของไวรัสโคโรนา แม้ว่าจะมีความกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดที่จะส่งผลกระทบต่อความต้องการใช้น้ำมันก็ตาม
ทั้งนี้ น้ำมันดิบ Brent ปรับขึ้น 22 เซนต์ หรือ 0.8% ที่ระดับ 26.56 เหรียญ/บาร์เรล ทางด้าง น้ำมันดิบ WTI ปรับขึ้น 42 เซนต์ หรือ 1.9% ที่ระดับ 23.02 เหรียญ/บาร์เรล