• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 27 มีนาคม 2563

    27 มีนาคม 2563 | Economic News


· สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา:

- จำนวนผู้ติดเชื้อทั่วโลกล่าสุดอยู่ที่ 531,698 ราย

- จำนวนผู้เสียชีวิตทั่วโลกล่าสุดอยู่ที่ 24,070 ราย

- จำนวนประเทศติดเชื้อทั่วโลกล่าสุดอยู่ที่ 199 ประเทศ (+1)

- จำนวนผู้ติดเชื้อในสหรัฐฯเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นอันดับที่ 1 ของโลก โดยล่าสุดมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น 17,069 ราย รวมอยู่ที่ 85,280 ราย และมีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 266 ราย สู่ระดับ 1,293 ราย

- จำนวนผู้ติดเชื้อในอิตาลีเพิ่มขึ้นแตะระดับ 80,589 ราย (+6,203) ขณะที่ผู้เสียชีวิตรวมแล้วทั้งสิ้น 8,215 (+712) ราย

-จำนวนผู้ติดเชื้อในไทยล่าสุดเพิ่มอีก 111 ราย รวมผู้ติดเชื้อสะสมอยู่ที่ 1,045 ราย และมีผู้เสียชีวิตสะสม 4 ราย


- สหรัฐฯกลายเป็นประเทศที่มีผู้ติดเชื้อสะสมสูงที่สุดนำหน้าอิตาลีและจีนเป็นที่เรียบร้อยและกลายมาเป็นประเทศที่มียอดผู้ติดเชื้อสูงสุดเป็นอันดับที่ 1 ของโลกในเวลานี้ ท่ามกลาง WHO ที่เคยกล่าวเตือนในช่วงต้นสัปดาห์ว่า การระบาดที่เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่เดือนธ.ค. มีอัตราการเพิ่มขึ้นเกินครึ่งล้านของประชากรในเกือบทุกๆประเทศทั่วโลก และอัตราการระบาดก็มีการปรับตัวรวดเร็วอย่างมาก โดยจะเห็ฯจากช่วง 67 วัน มีประชาชนติดเชื้อไปแล้ว 100,000 ราย และ 11 วันต่อมาปรับขึ้น 100,000 ราย และช่วง 3-4 วัน ก็มียอดรวมปรับตัวขึ้นหลักแสนเช่นกัน

- อิตาลีมียอดผู้เสียชีวิตพุ่งเกินด 7,000 ราย แต่จำนวนการติดเชื้อใหม่ชะลอลงต่อเนื่องช่วง 4 วันทำการ

- อังกฤษประกาศใช้มาตรการฉุกเฉินเพื่อช่วยเหลือภาคธุรกิจส่วนตัว ที่มีการจ่ายภาษีคิดเป็นร้อยละ 80 ของผลประกอบการรายเดือนตลอดช่วง 3 ปีที่ผ่านมา

- บรรดาผู้นำอียูเห็นพ้องต่อการช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจในวิกฤตโคโรนา แต่อาจจะต้องใช้เวลามากกว่า 2 สัปดาห์ในการให้รายละเอียดของข้อแตกต่างกันระหว่างยุโรปแถบเหนือกับทางตอนใต้

ทั้งนี้ บรรดาผู้นำอียู 27 ประเทศมีการร่วมประชุมหารือกันผ่านวิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์เป็นเวลากว่า 6 ชั่วโมง พร้อมกำหนด Credit Line มูลค่า 2% ของเศรษฐกิจจากกองทุนกลไกในการรักษาเสถียรภาพทางการเงิน (ESM)

- องค์การสหภาพแรงงานนานาชาติ หนึ่งในหน่วยงานของ U.N. เผยว่า ทั่วโลกจะเผชิญกับการตกงานจากการระบาดของไวรัสโคโรนาในเวลานี้ ซึ่งอาจพุ่งสูงกว่า 25 ล้านคนภายในเวลาไม่กี่วัน โดย Global Ranks ของคนว่างงานดูจะขยายตัวเพิ่มขึ้นได้ระหว่าง 5.3 – 24.7 ล้านคน

· วุฒิสภาผ่านร่างนโยบาย 2 ล้านล้านเหรียญ จับตาสภาผู้แทนฯลงมติศุกร์นี้

วุฒิสภาสหรัฐฯมีมติผ่านร่างนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจจากผลกระทบของ COVID-19 เป็นวงเงินกว่า 2 ล้านล้านเหรียญด้วยคะแนนเสียงถล่มทลายเมื่อวานนี้

ร่างนโยบายที่ใช้วงเงินมหาศาลครั้งประวัติศาสตร์ได้รับการลงมติผ่านด้วยคะแนนเสียง 96-0 และร่างนโยบายนี้จะถูกส่งไปยังสภาผู้แทนราษฎรเพื่อทำการลงมติต่อ โดยคาดว่าการลงมติจะเกิดขึ้นอย่างเร็วที่สุดภายในคืนวันศุกร์นี้ ตามเวลาประเทศไทย

นางแนนซี เพโลซี หัวหน้าสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ คาดว่าสภาผู้แทนฯจะมีมติผ่านร่างนโยบายนี้ไปได้อย่างแน่นอน

ทั้งนี้ วุฒิสภาสหรัฐฯได้เร่งเจรจาร่างนโยบายดังกล่าวเนื่องจากคาดการณ์ว่าจำนวนคนว่างในสหรัฐฯจะเพิ่มขึ้นเป็นประวัติการณ์ เนื่องจากการปิดทำการของผู้ประกอบการส่วนใหญ่เพื่อชะลอการระบาดของ COVID-19 รวมถึงโรงพยาบาลที่เริ่มขาดแคลนทรัพยากรทางการแพทย์ และจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือโดยด่วน

· จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ของสหรัฐฯปรับตัวขึ้นเกินคาดอย่างมากพุ่งแตะ 3.28 ล้านราย สูงกว่าช่วงที่เคยเกิดวิกฤต Great Recession ที่เคยทำจุดสูงสุดในเดือนมี.ค. ปี 2009 ที่ 665,000 ราย และสูงกว่าระดับ All Time High ที่ทำไว้ในเดือนต.ค. ปี 1982 ที่ 695,000 ราย จึงเป็นตัวเลขที่สะท้อนได้ค่อนข้างดีถึงผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโคโรนาที่กำลังเกิดขึ้น




ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงทำต่ำสุดรอบ 1 สัปดาห์เมื่อเทียบกับสกุลเงิ

นหลักส่วนใหญ่ หลังจากที จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ออกมาแย่กว่าที่คาด โดยดัชนีดอลลาร์ปิด -1.5% ที่ 99.57 จุด ซึ่งเป็นระดับอ่อนค่าที่มากที่สุดตั้งแต่ 18 มี.ค.ที่ผ่านมา

ค่าเงินยูโรแข็งค่าขึ้น +0.85% ที่ 1.0972 ดอลลาร์/ยูโร ซึ่งเป็นระดับแข็งค่าที่สุดตั้งแต่ 18 มี.ค. ในขณะที่เงินเยนแข็งค่าขึ้น 1.53% ที่ 109.49 เยน/ดอลลาร์

· โพเวลล์มั่นใจ เครื่องมือกระตุ้นเศรษฐกิจของเฟดยังไม่หมด

นายเจอโรม โพเวลล์ ประธานเฟด ให้สัมภาษณ์กับ NBC News โดยให้สัญญาว่าเฟดจะดำเนินการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการออกนโยบายต่างๆต่อไป เพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจจาก COVID-19 อย่างเต็มที่

พร้อมระบุว่านโยบายต่างๆที่ประกาศใช้ก่อนหน้านี้ จะช่วยเพิ่มต้นทุนที่จำเป็นให้กับตลาดและจะสามารถฟื้นฟูเศรษฐกิจได้เต็มที่ทันทีที่สามารถควบคุมการระบาดของไวรัสได้

เมื่อถูกสอบถามว่าเฟดจะหมดเครื่องมือสำหรับการกระตุ้นเศรษฐกิจเมื่อถึงคราวจำเป็นหรือไม้ นายโพเวลล์ยืนยันว่าเฟดยังมีเครื่องมือมากพอสำหรับการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านวิธีอื่นๆที่ไม่ใช่เฉพาะการปล่อยกู้อย่างเดียว

ตลอดช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา เฟดมีการประกาศใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงินต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการลดดอกเบี้ยลงใกล้ระดับ 0% รวมถึงนโยบายปล่อยกู้โดยตรงให้กับภาคเอกชน ซึ่งเป็นนโยบายที่ออกร่วมกับกระทรวงการคลังสหรัฐฯ รวมทั้งยังประกาศเข้าซื้อพันธบัตรและสินทรัพย์อื่นๆที่เฟดไม่เคยมีการเข้าซื้อมาก่อน เพื่อกระตุ้นให้กระแสเครดิตหมุนเวียนได้อย่างเต็มที่

นายโพเวลล์ระบุว่า เป้าหมายในการออกนโยบายของเฟดในครั้งนี้ คือการให้ความช่วยเหลือทางด้านเครดิตให้กับภาคธุรกิจที่จำเป็นต้องได้รับอย่างตรงจุด ซึ่งเป็นการดำเนินการที่เฟดมองว่าเหมาะสมที่สุดกับสถานการณ์ในปัจจุบัน

ล่าสุด เฟดยังได้ประกาศมาตรการเข้าซื้อสินทรัพย์แบบไม่จำกัดวงเงิน โดยให้สัญญาว่าจะเข้าซื้อพันธบัตรมากเท่าที่จำเป็นเพื่อหนุนให้เศรษฐกิจสามารถดำเนินต่อไปได้อย่างมั่นคงที่สุด

· พอร์ตงบดุลเฟดแตะระดับ 5 ล้านล้านเหรียญเป็นครั้งแรก ท่ามกลางภาวะสงครามกับ COVID-19

พอร์ตงบดุลของเฟดพุ่งแตะระดับ 5 ล้านล้านเหรียญเป็นครั้งแรกในสัปดาห์นี้ ท่ามกลางการประกาศเข้าซื้อพันธบัตรและสินทรัพย์ต่างๆเพื่อช่วยพยุงเศรษฐกิจที่ได้รับกระทบจากการระบาดของ COVID-19

โดยพอร์ตงบดุลของเฟดมีมูลค่าเพิ่มขึ้นมากกว่า 5 แสนล้านเหรียญภายในเวลาเพียง 1 สัปดาห์ มากกว่าอัตราที่เพิ่มขึ้นในช่วงวิกฤติทางการเงินปี 2008 เกือบ 2 เท่าตัว และเมื่อวันพุธที่ผ่านมา พอร์ตงบดุลเฟดก็ได้ขึ้นแตะระดับ 5.3 ล้านล้านเหรียญไปแล้ว

ทั้งนี้ เฟดมีการซื้อพันธบัตรในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นมูลค่าถึง 3.55 แสนล้านเหรียญ และตอนนี้เฟดก็ได้ใช้มาตรการเข้าซื้อสินทรัพย์แบบไม่จำกัดที่ตามที่ประกาศเมื่อช่วงต้นสัปดาห์นี้

เฟดยังได้เสนองบประมาณเป็นมูลค่ารวมกว่า 2 แสนล้านเหรียญให้กับธนาคารกลางของประเทศอื่นๆ ผ่านการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศสำรอง เพื่อนำสกุลเงินดอลลาร์ให้กับเศรษฐกิจที่จำเป็นต้องพึ่งค่าเงินดอลลาร์ที่มีสภาพคล่องสูงที่ในขณะนี้

รายงานจากเฟดที่เปิดเผยออกมาเมื่อคืนก่อน ยังแสดงให้เห็นด้วยว่าภาคธนาคารพาณิชย์มีความต้องการกู้ยืมโดยตรงจากเฟดสูงขึ้นอย่างมาก โดยธนาคารพาณิชย์มีการกู้ยืมออกมาไปแล้วประมาณ 2.77 หมื่นล้านเหรียญ ขณะที่บรรดากองทุนรวมกู้ยืมออกไปแล้ว 3.06 หมื่นล้านเหรียญ

· ราคาน้ำมันดิบปิดปรับตัวลงหลังจากที่ปิดบวกต่อเนื่อง 3 วันทำการ ท่ามกลางความผันผวนและความกังวลเรื่องอุปสงค์น้ำมันจากการจำกัดเที่ยวบิน และภาวะ Lockdown ประเทศต่างๆ จึงบดบังความหวังที่ว่าสหรัฐฯจะทำการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยวงเงิน 2 ล้านล้านเหรียญ

น้ำมันดิบ WTI ปิด -7.7% หรือปรับลง 1.89 เหรียญ ที่ 22.60 เหรียญ ขณะที่ Brent ปิดลง 1.01 เหรียญ หรือ -3.69% ที่ 26.43 เหรียญ/บาร์เรล

 
บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com