• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 25 มีนาคม 2563

    25 มีนาคม 2563 | Economic News


· สถานการณ์ไวรัสโคโรนา:

- จำนวนผู้ติดเชื้อทั่วโลกล่าสุดอยู่ที่ 421,413 ราย

- จำนวนผู้เสียชีวิตทั่วโลกล่าสุดอยู่ที่ 18,810 ราย

- จำนวนประเทศติดเชื้อทั่วโลกล่าสุดอยู่ที่ 197 ประเทศ (+2)

- จำนวนผู้ติดเชื้อในอิตาลีเพิ่มขึ้นแตะระดับ 69,176 ราย (+5,249) ขณะที่ผู้เสียชีวิตรวมแล้วทั้งสิ้น 6,820 (+743) ราย

- จำนวนผู้ติดเชื้อในสหรัฐฯเพิ่มขึ้นต่อเนื่องมาเป็นอันดับที่ 3 ของโลกรองจากอิตาลี โดยล่าสุดมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น 9,921 ราย รวมอยู่ที่ 53,655 ราย และมีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 145 ราย สู่ระดับ 698 ราย

- จำนวนผู้ติดเชื้อในไทยล่าสุดเพิ่มอีก 106 ราย รวมผู้ติดเชื้อสะสมอยู่ที่ 827 ราย และมีผู้เสียชีวิตสะสม 4 ราย

- ยอดผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาในสหรัฐฯเพิ่มขึ้นทะลุ 50,000 ราย และส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตเกิน 600 ราย และจะเห็นว่ายอดผู้ติดเชื้อสหรัฐฯในช่วงสัปดาห์นี้พุ่งขึ้นกว่า 10 เท่านจากประมาณ 5,000 รายในสัปดาห์ก่อน

- นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ แถลงถึงการจะกลับมาเปิดภาคธุรกิจในช่วงกลางเดือนเม.ย. นี้ แม้ว่าการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาจะยังคงเพิ่มสูงขึ้นก็ตาม

- ทรัมป์เรียกคะแนนความนิยมคืน ท่ามกลางสถานการณ์ COVID-19

ช่วงที่เกิดวิกฤติต่างๆ มักจะเป็นช่วงที่บรรดานักการเมืองสามารถเรียกคะแนนความนิยมกลับคืนมาได้ ซึ่งนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ก็สามารถทำได้เช่นนั้น

โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายในปีนี้ ซึ่งจะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯเกิดขึ้น คะแนนความนิยมดังกล่าวจึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง

โพลสำรวจล่าสุดโดย Gallup ระบุว่าคะแนนความนิยมของนายทรัมป์เพิ่มขึ้นแตะระดับ 49% นับเป็นคะแนนความนิยมที่ดีที่สุดของเขาเท่าที่โพลสำรวจสำนักนี้เคยจัดทำมา

เทียบกับเมื่อต้นเดือนนี้ คะแนนความนิยมของนายทรัมป์อยู่ที่ 44% การที่คะแนนเพิ่มขึ้นได้ถึง 5% มาจากการที่นายทรัมป์มีการตอบรับกับสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 แทบจะทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นการออกแถลงการณ์เรียกความเชื่อมั่นให้กับประชาชน และการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องภายในรัฐบาลสหรัฐฯ

- สหรัฐฯขอความร่วมมือ ผู้ที่เดินทางออกจากนิวยอร์กให้ทำการกักตัวเอง 14 วัน

เจ้าหน้าที่ของหน่วยปฏิบัติการเฉพาะกิจสำหรับสถานการณ์ COVID-19 ประจำทำเนียบขาว ขอความร่วมมือจากประชาชนทุกคนที่เดินทางออกจากเมืองนิวยอร์ก ให้ทำการกักตัวเองเพื่อสังเกตอาการเป็นเวลา 14 วัน

ขณะที่เจ้าหน้าที่อีกรายหนึ่งระบุว่ารัฐบาลมีการออกมาตรการเฝ้าระวังผู้เดินทางออกจากเมืองเป็นการเบื้องต้นแล้ว

- ล่าสุดพบผู้ติดเชื้อในตลาด New York Stock Exchange เพิ่ม 2 ราย

- อินเดียประกาศ Lockdown ประเทศเป็นเวลา 21 วัน

- ออสเตรเลียเตือนวิกฤตทางสุขอนามัย ท่ามกลางยอดผู้ติดเชื้อในประเทศที่พุ่งสูงขึ้น

ออสเตรเลียกำลังเผชิญกับจำนวนผู้ติดเชื้อ COVID-19 ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและมียอดรวมแล้วมากกว่า 2,250 ราย ส่งผลให้ผู้นำรัฐบาลออกประกาศเตือนถึงวิกฤตทางสุขอนามัย ขอความร่วมมือจากประชาชนให้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการระบาดอย่างเคร่งครัด

โดยย้ำเตือนว่า หากจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้นจนโรงพยาบาลไม่สามารถรองรับคนไข้เพิ่มได้ ผลกระทบที่ตามมาจะมีความรุนแรงอย่างมาก และอาจทำให้บุคลากรทางการแพทย์ไม่สามารถให้ความช่วยเหลือไปยังผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือมากที่สุดได้ อย่างคนไข้ที่ต้องรักษาตัวอยู่ในห้อง ICU

บรรดาผู้นำในออสเตรเลียดูจะมีความตึงเครียดมากขึ้น เนื่องประชาชนบางส่วนมีการละเมิดมาตรการ Social distancing อยู่เรื่อยๆ โดยก่อนหน้าที่ภาวะฉุกเฉินของรัฐบาลจะมีผลบังคับใช้เพียงไม่กี่วัน กลับมีประชาชนที่พากันไปเที่ยวผับและชายหาดนับหลายพันคน

· สภาคองเกรสยังคงรอคอยข้อตกลงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 2 ล้านล้านเหรียญ

พรรคเดโมแครตและรีพับลิกัน ระบุถึงการเข้าใกล้บรรลุข้อตกลงร่วมกันสำหรับร่างงบประมาณ 2 ล้านล้านเหรียญ อันจะเป็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงการระบาดของไวรัสโคโรนา แต่การจะลงนามภายในเร็วๆนี้ยังไม่มีแนวโน้มจะเกิดขึ้น และการเจรจาก็ยังคงดำเนินต่อไป ซึ่งเร็วสุดอาจเห็นการเจรจาในเย็นนี้ หรืออาจเป็นวันพรุ่งนี้แทน

ทั้งนี้ งบประมาณ 2 ล้านล้านเหรียญในมาตรการดังกล่าว จะประกอบไปด้วย 5 แสนล้านเหรียญสำหรับการช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรม รวมทั้งการจ่ายเงินโดยตรงแก่ประชาชนสหรัฐฯกว่า 3,000 ล้านเหรียญ พร้อมอุ้มภาคธุรกิจขนาดเล็กอีก 3.5 แสนล้านเหรียญ และอีก 2.5 แสนล้านเหรียญจะเป็นการช่วยเหลือแก่คนว่างงาน รวมทั้งอีก 7.5 หมื่นล้านเหรียญจะเป็นงบสำหรับโรงพยาบาลต่างๆ

· นโยบายเฟดช่วยคลายกังวลให้ตลาด กระแสเงินสดหมุนเวียนมากขึ้น

นักลงทุนในตลาดส่วนใหญ่ดูจะเหมือนผ่อนคลายความตึงเครียดลงหลังจากที่เฟดประกาศใช้นโยบายทางการเงินแบบที่ไม่เคยทำมาก่อน โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อกระตุ้นสภาพคล่องของตลาด และเสริมความเชื่อมั่นของนักลงทุนท่ามกลางวิกฤติ COVID-19

โดยเห็นได้จากการที่ตลาดหุ้นทั่วโลกเริ่มมีการปรับตัวสูงขึ้น ผู้ประกอบการบางส่วนสามารถชำระหนี้ได้และมีเครดิตที่ดีขึ้น

ขณะที่ข้อมูลจากเฟดแสดงให้เห็นว่า การออกนโยบายผ่อนคลายข้อจำกัดของการกู้ยืมและขยายระยะเวลาของการชำระหนี้ ช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถทำการกู้ยืมระยะสั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังมีมุมมองว่าการเทขายสินทรัพย์ต่างๆตั้งแต่หุ้นไปจนถึงน้ำมัน ยังไม่จบลงเพียงเท่านั้น ขณะที่สภาพคล่องของตลาดก็ยังไม่ฟื้นตัวกลับมาสู่ภาวะปกติ แม้การออกนโยบายของเฟดจะได้รับการตอบรับในเชิงบวกจากตลาด แต่ดูเหมือนตลาดกำลังจับตารอการผลักดันนโยบายรับมือ COVID-19 เป็นวงเงิน 2 ล้านล้านเหรียญจากรัฐบาลสหรัฐฯอยู่

· ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักส่วนใหญ่ หลังเฟดประกาศจะเข้าซื้อพันธบัตรอย่างไม่จำกัด ท่ามกลางนักลงทุนที่ตอบรับกับท่าทีเชิงบวกของรัฐบาลสหรัฐฯที่อาจผลักดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อชดเชยผลกระทบจากไวรัสโคโรนาได้

ดัชนีดอลลาร์อ่อนค่าลง 0.42% ที่ 1014.71 จุด โดยปรับตัวลงจากระดับแข็งค่ามากสุดรอบ 3 ปี ที่ทำไว้ในวันศุกร์ บริเวณ 102.99 จุด ขณะที่ค่าเงินยูโรแข็งค่าขึ้น 0.82% มาที่ระดับ 1.0809 ดอลลาร์/ยูโร

ค่าเงินปอนด์เองก็ปรับแข็งค่าขึ้น 1.72% ที่ 1.1747 ดอลลาร์/ปอนด์ หลังจากที่ไปทำต่ำสุดรอบ 35 ปีบริเวณ 1.1413 ดอลลาร์/ปอนด์ ในสัปดาห์ที่แล้ว

· ราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นได้เกือบ 3% จากความหวังที่ว่าสหรัฐฯจะสามารถบรรลุข้อตกลงการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 2 ล้านล้านเหรียญ และน่าจะส่งผลบวกต่ออุปสงค์น้ำมันได้ด้วย โดยน้ำมันดิบ Brent ปิดปรับขึ้น 22 เซนต์ ที่ 27.27 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ WTI ปิดปรับขึ้น 65 เซนต์ หรือ +2.78% ที่ 24.01 เหรียญ/บาร์เรล

 
บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com