• สรุปข่าวตลาดหุ้น (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 18 มีนาคม 2563

    18 มีนาคม 2563 | SET News
 

· ตลาดหุ้นสหรัฐฯปิดปรับขึ้นได้เมื่อคืนนี้ นำโดยดัชนีดาวโจนส์ที่รีบาวน์กว่า 1,000 จุด ปิดปรับขึ้น 1,048.70 จุด หรือ +5.2% ที่ 21,237.31 จุด โดยก่อนรีบาวน์ดาวโจนส์ร่วงหลุด 20,000 จุดเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ ก.พ. ปี 2017

ดัชนี S&P500 ปิด +6% ที่ 2,529.19 จุด และดัชนี Nasdaq ปิด +6.2% ที่ 7,334.78 จุด

ทั้งนี้ แหล่งข่าววงในเผยว่า ทีมบริหารของนายทรัมป์มีแผนกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยวงเงินที่สูงกว่า 1 ล้านล้านเหรียญ อันประกอบด้วยการจ่ายค่าจ้างโดยตรงแก่ชาวอเมริกา สอดคล้องกับรายงานก่อนหน้าที่ระบุถึง นายสตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีกระทวงการคลังสหรัฐฯ ที่กล่าวถึงภาครัฐกำลังพิจารณาการจ่ายเช็คโดยตรงแก่ชาวอเมริกาในอีก 2 สัปดาห์ข้างหน้า ท่ามกลางประชาชนที่ต้องการเงินสดเวลานี้

นอกจากนี้ ยังมีการอนุโลมภาคบริษัทในการเลื่อนการชำระภาษีได้ 10 ล้านเหรียญ ขณะที่บุคคลธรรมดาอาจเลื่อนการชำระ 1 ล้านเหรียญให้แก่ กรมสรรพากรสหรัฐฯ (IRS)

อย่างไรก็ดี นายมนูชิน ระบุว่า สหรัฐฯอาจเผชิญกับคนว่างงานที่น่าจะพุ่งขึ้นกว่า 20% หากทางคองเกรสไม่อนุมัติแผนดังกล่าว

สำหรับข่าวดังกล่าวดูจะหนุนให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯอายุ 10 ปี ปรับขึ้นเหนือ 1% ด้านพันธบัตรระยะยาวอายุ 20 ปีขึ้นไป (TLT) ปรับลงกว่า 6% ท่ามกลางนักลงทุนลดการถือครองและกลับเข้าตลาดหุ้นแทน

เช้าวันนี้ดัชนีฟิวเจอร์สสหรัฐฯร่วงลง ท่ามกลางความผันผวนของตลาดแม้เมื่อคืนหุ้นสหรัฐฯจะปิดบวกจากแผนกระตุ้นเศรษฐกิจก็ตาม

โดยดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์ส เปิดปรับลงประมาณ 400 จุด และคาดอาจเห็นร่วงได้กว่า 600 จุด ขณะที่ S&P500 ฟิวเจอร์สปรับลงไปประมาณ 45 จุด

· ตลาดหุ้นยุโรปปิดแดนบวกท่ามกลางความผันผวนของตลาดจากความหวังจะเห็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่การระบาดของไวรัสโคโรนาเป็นไปอย่างรวดเร็วและส่งผลให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอย โดยดัชนี Stoxx600 ปิด +2.2% ขณะที่โดยรวมหุ้นกลุ่มการท่องเที่ยวยังอยู่มนแดนลบโดยปรับลงกว่า 6% ท่ามกลางภาวะ Shutdown ในภาคบริษัทที่ยังดำเนินอยู่

· ตลาดหุ้นเอเชียเปิดผสมผสานกันในเช้านี้ท่ามกลางตลาดหุ้นสหรัฐฯที่รีบาวน์กลับได้เมื่อวานนี้ จากความหวังเกี่ยวกับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อต่อสู้กับสถานการณ์การระบาดของไวรัสในเวลานี้

ดัชนี S&P/ASX200 ของออสเตรเลียเปิด -4.1% ท่ามกลางหุ้นส่วนใหญ่ที่ปรับตัวลดลง ขณะที่ดัชนีนิกเกอิเปิด +0.17% และ Topix เปิด +0.86% ท่ามกลางการส่งออกของญี่ปุ่นที่ -1% ในเดือนก.พ. เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งออกมาดีกว่าที่คาดว่าจะออกมาลดดลง 4.3%

ดัชนี Kospi ของเกาหลีใต้เปิดแดนลบ -0.43% และดัชนี MSCI ที่ไม่รวมญี่ปุ่นเปิด -0.49%

ทั้งนี้ นอกจากรัฐบาลสหรัฐฯแล้ว รัฐบาลต่างๆทั่วโลกก็ดูมีความพยายามที่จะหามาตรการรับมือเพื่อยับยั้งการระบาดของไวรัสโคโรนา ท่ามกลางประเทศสมาชิกอียูที่ปิดประเทศไปส่วนใหญ่ และห้ามประเทศอื่นเข้าประเทศเป็นอย่างน้อย 30 วัน ขณะที่เอเชียนั้น ประเทศมาเลเซียประกศปิดประเทศ รวมทั้งสั่งปิดสถานศึกษาและภาคธุรกิจส่วนใหญ่ตั้งแต่วันนี้จนถึงสิ้นเดือนนี้

· อ้างอิงจากสำนักข่าวอินโฟเควสท์

- นักบริหารเงิน คาดว่า วันนี้เงินบาทยังมีทิศทางอ่อนค่า โดยมองกรอบไว้ที่ 32.00-32.50 บาท/ดอลลาร์ โดยเมื่อวานเงินบาทอ่อนค่าจากแรงเทขายของนักลงทุนต่างชาติ ทั้งในหุ้นและพันธบัตรที่เป็นตัวกดดันหลัก โดยจะเห็นได้จากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวของไทยที่ปรับตัววสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยพันธบัตรอายุ 10 ปี ปรับขึ้นจากระดับต่ำสุดของปีที่ 0.83% มาที่ 1.35% แม้ธนาคารกลางทั่วโลกจะเดินหน้าลดดอกเบี้ยก็ตาม จึงสะท้อนว่าทั่วโลกยังมีความเสี่ยงของเศรษฐกิจไทยมากขึ้น และมองว่าหากตลาดยังมีความต้องการสภาพคล่องในรูปของดอลลาร์ที่สูง และถ้าหุ้นยังไม่ฟื้น ก็อาจเห็นบาทแตะ 33 บาท/ดอลลาร์ได้ในช่วง 1-2 สัปดาห์จากนี้

- ครม.เห็นชอบมาตรการจำกัดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยรัฐบาลยืนยันว่าไม่ได้มีการปิดประเทศหรือปิดเมืองแต่อย่างใด เป็นเพียงการใช้มาตรการควบคุมในระดับที่เข้มข้น เช่น การสั่งปิดชั่วคราวสถานที่ที่มีความสุ่มเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดการแพร่ระบาด เช่น สถานบันเทิง สนามกีฬา โรงมหรสพ สถานศึกษา เป็นต้น พร้อมกับงดกิจกรรมที่มีการเคลื่อนย้ายคนข้ามจังหวัด เลื่อนการหยุดเทศกาลสงกรานต์ระหว่าง 13-15 เม.ย.63 ออกไปก่อนโดยให้เป็นวันทำงานปกติและจะหยุดชดเชยในภายหลัง ส่งเสริมการทำงานที่บ้าน เป็นต้น

- ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เข้าซื้อพันธบัตรภาครัฐทั้งระยะสั้นและระยะยาว มูลค่ารวม 35,000 ล้านบาท เพื่อช่วยลดความผันผวนและเอื้อต่อการทำธุรกรรมของผู้ร่วมตลาด นอกจากนี้ ธปท.ได้เข้าทำธุรกรรมเสริมสภาพคล่องดอลลาร์สหรัฐเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ตลาดมีสภาพคล่องดอลลาร์สหรัฐที่เพียงพอต่อความต้องการ ทั้งนี้ ธปท.จะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและพร้อมเข้าดูแลตลาดการเงินและระบบการเงินให้ธุรกรรมทางการเงินสามารถดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่อง

- ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ประกาศปรับหลักเกณฑ์การขึ้น-ลง ของราคาหลักทรัพย์สูงสุดและต่ำสุดในแต่ละวัน (ซีลลิ่ง-ฟลอร์) ในตลาดหลักทรัพย์ (SET) สำหรับหุ้น / หน่วยลงทุน / ใบสำคัญแสดงสิทธิจะซื้อหุ้นสามัญ (วอร์แรนต์)/ DW /ETF / TSR / DR จากเดิม บวก/ลบ 30% เป็น บวก/ลบ 15% ส่วน Foreign share จากเดิมบวก/ลบ 60% เป็น บวก/ลบ 30% พร้อมกันนั้น จะปรับเกณฑ์มาตรการหยุดพักการซื้อขายหลักทรัพย์ชั่วคราว (เซอร์กิต เบรกเกอร์) โดยระดับที่ 1 จากลดลง 10% จะหยุดพักการซื้อขาย 30 นาที เป็น 8% หยุดพักการซื้อขาย 30 นาที ระดับที่ 2 จากลดลง 20% จะหยุดพักการซื้อขาย 60 นาที เป็น 15% หยุดพักการซื้อขาย 30 นาที และเพิ่มระดับที่ 3 ลดลง 20% จะหยุดพักการซื้อขาย60 นาที โดยให้มีผลชั่วคราวตั้งแต่วันที่ 18 มี.ค.จนถึงไม่เกิน 30 มิ.ย.63

บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com