• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคค่ำ) ประจำวันที่ 11 มีนาคม 2563

    11 มีนาคม 2563 | Economic News

สถานการณ์ไวรัสโคโรนาล่าสุด!

> จำนวนผู้ติดเชื้อทั่วโลกล่าสุดอยู่ที่ 119,292 ราย

> จำนวนผู้เสียชีวิตทั่วโลกล่าสุดอยู่ที่ 4,300 ราย

> รักษาหายแล้ว 66,582 ราย

> จำนวนประเทศติดเชื้อทั่วโลกล่าสุดอยู่ที่ 119 ประเทศ

· เกาหลีใต้มีรายงานผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนารายใหม่ออกมาเพิ่มสูงขึ้นถึง 242 รายในวันนี้ เทียบกับเมื่อวานที่ 35 ราย หลังจากรัฐบาลเกาหลีใต้มีการตรวจคัดกรองโรคให้กับพนักงานหลายร้อยคนของคอลเซ็นเตอร์แห่งหนึ่ง จึงส่งผลให้มีการพบผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นอย่างมาก จากเดิมที่มีการรายงานจำนวนผู้ติดเชื้อชะลอตัวตลอดช่วง 11 วันที่ผ่านมา

สำหรับยอดรวมเฉพาะในเกาหลีใต้ มีผู้ติดเชื้อรวมมากกว่า 7,755 ราย และเสียชีวิตเพิ่มขึ้น 1 ราย รวมเป็น 60 ราย

· ร้านค้าและร้านอาหารในอิตาลีปิดบริการ หลายร้อยเที่ยวบินถูกยกเลิก รวมทั้งถนนถูกตัดขาดไปทั่วอิตาลี ซึ่งเป็นวันแรกของการปิดประเทศอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนเพื่อชะลอการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาเลวร้ายที่สุดในยุโรป

เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากมีการบังคับใช้ ทางเจ้าหน้าที่สาธารณสุขประกาศว่าผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นจาก 168 ราย เป็น 631 ราย ซึ่งเป็นตัวเลขที่เพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่มีการแพร่ระบาดของโรคเมื่อวันที่ 21 ก.พ.ที่ผ่านมา

· กระทรวงการต่างประเทศแห่งประเทศจีนประกาศต่อต้านการใช้คำว่า “ไวรัสอู่ฮั่น” เพื่อระบุถึงไวรัสโคโรนาสายพันธ์ใหม่ 2019 หรือ COVID-19 เนื่องจากจะเป็นการสร้างความเสียหายให้กับภาพลักษณ์ของประเทศ หลังจากที่ถ้อยแถลงของนายไมค์ ปอมเปโอ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศแห่งสหรัฐฯ มีการใช้คำว่าไวรัสอู่ฮั่น

นอกจากนี้ ทางกระทรวงการต่างประเทศแห่งประเทศจีนยังอ้างว่ามีความเป็นไปได้ที่ไวรัสโคโรนาสายพันธ์ใหม่ 2019 อาจไม่ได้มีต้นกำเนิดมาจากภายในประเทศจีนก็เป็นได้ แม้จะมีรายงานผู้ติดเชื้อรายแรกที่มาจากเมืองอู่ฮั่น ในมณฑลหูเป่ยของประเทศจีนก็ตาม

· จีนประกาศว่า ภาคบริษัทต่างๆในเมืองอู่ฮั่นจะได้รับอนุญาตให้กลับมาทำงานอีกครั้ง หลังจากเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา

โดยการตัดสินใจเกิดขึ้นหนึ่งวันหลังจากนายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีของจีนเข้าเยี่ยมชมเมืองหลวงของมณฑลหูเป่ยเป็นครั้งแรก เนื่องจากถูกกักตัวไว้ในช่วงปลายเดือนม.ค.ที่ผ่านมาหลังจากการระบาดจนกลายเป็นเหตุฉุกเฉินระดับชาติ

· รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศแห่งสิงคโปร์มองว่าการระบาดของไวรัสโคโรนาในช่วงที่ผ่านมา มีความรุนแรงเหมือนกับ “ระเบิด” ที่กระจายออกไปอย่างรวดเร็วกว่า 100 ประเทศทั่วโลก พร้อมกล่าวเตือนว่ารัฐบาลของแต่ละประเทศควรเตรียมรับมือกับผลกระทบของไวรัสที่อาจคงอยู่นานถึง 1 ปี

นอกจากนี้ รัฐมนตรียังคาดการณ์ถึงความเป็นไปได้ 2 กรณีเกี่ยวกับเชื้อไวรัสโคโรนาตัวนี้ คือ

1) พัฒนาการเป็นการระบาดในระดับโลก (Pandemic) ที่อาจสร้างผลกระทบอย่าง"ร้ายแรง"

2) กลายเป็นโรคประจำถิ่น (Endemic) หมายความว่าเชื้อไวรัสจะกลายเป็นโรคโดยทั่วไปที่พบได้ในพื้นที่เฉพาะ

· รายงานจาก Reuters ระบุว่ารัฐบาลสหรัฐฯกำลังพิจารณาออกนโยบายป้องกันผลกระทบจากไวรัสโคโรนาผ่านการกระตุ้นเศรษฐกิจและสนับสนุนรายได้ของชาวอเมริกัน แต่ยังไม่มีการตกลงกันภายในรัฐบาลได้แต่อย่างใด

เกือบ 3 ใน 4 ของรัฐทั้งหมดในสหรัฐฯต่างมีรายงานพบผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา ส่งผลให้สหรัฐฯมียอดผู้ติดเชื้อรวมแล้วถึง 1,025 ราย และเสียชีวิต 28 ราย ขณะที่ผู้ว่าเมืองวอชิงตันออกประกาศเตือนว่าอาจมีผู้ติดเชื้อที่ยังไม่สามารถตรวจพบได้อีกหลายพันไปจนถึงหลายหมื่นราย ทางด้านเมืองนิวยอร์กมีการใช้กองกำลังป้องกันประเทศเพื่อช่วยควบคุมการระบาดของไวรัสแล้ว

· สมาคมผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวโลก (Global Business Travel Association) คาดการณ์ว่าอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวทั่วโลกจะสูญเสียเม็ดเงินเป็นมูลค่าถึง 8.20 แสนล้านเหรียญ โดยที่จีนมีสัดส่วนเกือบครึ่งหนึ่งของยอดดังกล่าว เนื่องจากผลกระทบจากไวรัสโคโรนา

ความเสียหายดังกล่าวเกิดขึ้นเนื่องจากบรรดาผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวกว่า 3 ใน 4 ต่างยกเลิกหรือเลื่อนการเดินทางไปยังจีน ฮ่องกง ไต้หวัน และประเทศอื่นๆในแถบเอเชีย



· ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงต่อเนื่องเมื่อเทียบกับสกุลเงิน Safe-haven อย่างเงินเยนและสวิสฟรังก์ เนื่องจากนักลงทุนกลับมามีความกังวลอีกครั้งว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจะสามารถควบคุมผลกระทบจากไวรัสโคโรนาได้จริงหรือไม่

การปรับอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ สอดคล้องกับการปรับลดลงของดัชนีฟิวเจอร์สหุ้นสหรัฐฯและอัตราผลตอบแทนพันธบัตร เนื่องจากนักลงทุนกังวลเกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการระบาดของรัส

ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่า 0.8% เมื่อเทียบกับเงินเยนแถว 104.67 เยน/ดอลลาร์ ลดลงเกือบ 1 เยน จากระดับสูงสุดเมื่อวานที่ 105.915 เยน/ดอลลาร์

ค่าเงินดอลลาร์มีการอ่อนค่าลงไปมากที่สุดถึงระดับ 101.18 เยน/ดอลลาร์เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ขณะเศรษฐกิจญี่ปุ่นมีความเสี่ยงที่จะเข้าสู่ภาวะชะลอตัวไปแล้ว แต่ค่าเงินเยนก็ยังคงมีฐานะเป็น Safe-haven เนื่องจากญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ยอดเกินดุลการค้าในระดับสูง หรือเป็นเจ้าหนี้สุทธิ (Net Creditor)

ด้านค่าเงินสวิสฟรังก์แข็งค่า 0.45% แถว 0.9358 ฟรังก์/ดอลลาร์ ขณะที่ค่าเงินยูโรแข็งค่า 0.5% แถว 1.1336 ดอลลาร์/ยูโร

· นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อวานนี้ได้กล่าวไว้ว่าจะเรียกร้องให้ทางสภาคองเกรสพิจารณาปรับลดภาษีเงินได้ลง รวมถึงออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ “ครั้งใหญ่” แต่ยังไม่ได้ให้รายละเอียดเที่ชัดเจน

นักวิเคราะห์จากธนาคาร MUFG มองว่ายังเร็วเกินไปที่จะตัดสินว่าตลาดมีความเชื่อมั่นกลับคืนมาแล้ว การฟื้นตัวของค่าเงินดอลลาร์ที่เกิดขึ้นเมื่อวาน เป็นการเคลื่อนไหวทางเทคนิคที่เกิดขึ้นตามปกติในภาวะตลาดขาลงเช่นนี้

นอกเหนือจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ตลาดจะจับตาดูว่าสหรัฐฯสามารถควบคุมการระบาดของไวรัสและปกป้องเศรษฐกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพแค่ไหน


ตลาดยังคาดการณ์เป็นวงกว้างว่าเฟดจะมีมติปรับลดดอกเบี้ยลงอีก 0.5% ในการประชุมสัปดาห์หน้า

· นายโจ ไบเดน อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ มีโอกาสชนะการเลือกตั้งตัวแทนพรรคเดโมแครตที่จะไปชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในเดือน พ.ย. มากยิ่งขึ้น หลังจากที่เขาสามารถเอาชนะการเลือกตั้งในรัฐมิชิแกนไปได้ จึงเป็นแรงกดดันครั้งใหญ่ให้กับนายเบอร์นีย์ แซนเดอร์ คู่แข่งคนสำคัญ

· นักกลยุทธ์จาก TD Securities กล่าวถึงมุมมองและคาดการ์ณ์เกี่ยวกับอีซีบีว่าน่าจะเห็นอีซีบีปรับลดดอกเบี้ยอีก 0.1% ในการประชุมพรุ่งนี้เพื่อรับมือกับผลกระทบเชิงลบต่อการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา ที่ทำให้อิตาลีเข้าสู่ภาวะ Lockdown รวมทั้งค่าเงินยูโรที่ผันผวน

และทางสถาบันคาดไว้แล้วว่าอีซีบีน่าจะทำการลดดอกเบี้ย แต่สิ่งที่อยากเห็นจริงๆคือทิศทางจากนางลาการ์ดว่าจะมีการตัดสินใจต่อนโยบายผ่อนคลายทางการเงินมากน้อยเพียงใด ซึ่งไม่คิดว่าอีซีบีจะยกเรื่อง QE มาในวาระนี้

นอกจากนี้ ทาง TD Securities ยังเชื่อว่า ตลาดอาจจะผิดหวังต่อข่าวการประชุมอีซีบีลงได้ โดยเฉพาะหลังจากที่เฟดลดดอกเบี้ยไปแล้ว 0.5% ในการประชุมรอบนอก

ถ้อยแถลงหลังจบการประชุมอีซีบีถือเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่คาดว่านางลาการ์ดจะกล่าวในเชิงบวกอย่างมาก แต่เธอน่าจะสื่อถึงการดำเนินการทุกรูปแบบอย่างที่ตลาดอยากจะเห็นมากกว่า

· ธนาคารกลางอังกฤษหรือบีโออีมีการจัดการประชุมพิเศษขึ้นในวันนี้ และได้ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยลงจากระดับ 0.75% สู่ระดับ 0.25% เพื่อรับมือกับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการระบาดของไวรัสโคโรนา

การดำเนินการดังกล่าวเป็นการดำเนินการตามรอยเฟดที่มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงฉุกเฉินเมื่อสัปดาห์ก่อน เพื่อรับมือกับผลกระทบของไวรัสเช่นเดียวกัน


· นักลงทุนจับตาไปยังมาตรการของภาครัฐในการต่อสู้กับผลกระทบจากไวรัสโคโรนา โดยล่าสุดรัฐบาลออสเตรเลียประกาศงบด้านสุขภาพวงเงิน 2.4 พันล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย หรือประมาณ 1.56 พันล้านเหรียญ เพื่อเป็นงบสนับสนุนทางสุขภาาพขั้นพื้นฐาน, ผู้สูงอายุ, โรงพยาบาล และการวิจัยและพัฒนาเครื่องมือทางการแพทย์

ขณะที่เมื่อวานนี้ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ผลักดันนโยบายลดภาษีเงินได้ 0% ตลอดช่วงที่เหลือของปีนี้ และญี่ปุ่นเผยมาตรกาทางเศรษฐกิจมูลค่า 4 พันล้านเหรียญ เพื่อจัดการกับการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาเวลานี้

หัวหน้าทีมวิจัยการตลาดจาก Commonwealth Bank of Australia กล่าวว่า ตลาดกำลังรอดูการรับมือของนโยบายจากทางภาครัฐในทั่วทุกพื้นที่เศรษฐกิจ โดยเฉพาะการให้น้ำหนักและความสนใจไปยังนโยบายของประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ของโลกที่ถือว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดี


· ราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นเป็นวันที่สอง เนื่องจากผู้ผลิตน้ำมันในสหรัฐฯประกาศจะลดกำลังการผลิตเผื่อสนับสนุนราคา แต่ราคาน้ำมันปรับขึ้นได้อย่างจำจัดเนื่องจากความไม่แน่นอนในนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อรับมือบไวรัสโคโรนาของสหรัฐฯ

ราคาสัญญาน้ำมันดิบ Brent ปรับเพิ่มขึ้น 1.26 เหรียญ หรือ 3.4% ที่ระดับ 38.48 เหรียญ/บาร์เรล ในขณะที่ ราคาสัญญาน้ำมันดิบ WTI เพิ่มขึ้น 0.91 เหรียญ หรือ 2.7% ที่ระดับ 35.27 เหรียญ/บาร์เรล


บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com