• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคค่ำ) ประจำวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2563

    7 กุมภาพันธ์ 2563 | Economic News

· ค่าเงินดอลลาร์ทรงตัวใกล้ระดับสูงสุดรอบ 2 สัปดาห์เมื่อเทียบเงินเยน ท่ามกลางข้อมูลเศรษฐกิจที่ออกมาดีขึ้นของสหรัฐฯ โดยเฉพาะในกลุ่มการจ้างงาน ขณะที่เงินหยวนอ่อนค่าลง ในจังหวะที่ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้น แม้ว่าจะมียอดผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นตอ่เนื่องในจีนก็ตาม

ด้านเงินปอนด์อ่อนค่าลงใกล้ระดับอ่อนค่ามากที่สุดในรอบ 6 สัปดาห์เมื่อเท่ียบดอลลาร์ และยูโร โดยได้รับแรงกดันจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับการเจรจาข้อตกลงการค้าหลัง Brexit ระหว่างอังกฤษและอียู

ภาพรวมตลาดตอบรับกับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนที่ดูจะช่วยผ่อนคลายความกังวลเรื่องไวรัสโคโรนาลงไปได้บ้าง แต่ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับผลกระทบของการแพร่ระบาดต่อเศรษฐกิจโลก ก็เป็นสิ่งที่นักลงทุนจับตา

ค่าเงินเยนอ่อนค่ามาที่ 109.97 เยน/ดอลลาร์ ขณะท่ี่ภาพรวมดอลลาร์แข็งค่าขึ้นกว่า 1.5% เมื่อเทียบเยน และทำให้ภาพรวมรายสัปดาห์ของดอลลาร์เทียบเยนดูจะเพิ่มขึ้นมากที่สุดต้งแต่ก.ค.ปี 2018 ขณะที่เงินหยวนอ่อนค่าลง 0.1% ที่ 6.9796 หยวน/ดอลลาร์ และเงินปอนด์ทรงตัวที่ 1.2938 ดอลลาร์/ปอนด์ หลังจากที่ปิดปรับลงทำต่ำสุดตั้งแต่ 25 ธ.ค. หรือคิดเป็นการอ่อนค่าลงแล้วกว่า 2% ในสัปดาห์นี้

นอกจากนี้ กลุ่มนักลงทุนยังคงจับตาไปยังรายงานการจ้างงานนอกภาคการเกษตรของรัฐบาลสหรัฐฯ ท่ามกลางกระแสคาดการณ์ที่ว่าจะเห็นถึงการปรับตัวสูงบขึ้น

· ค่าเงินยูโรมีการอ่อนตัวจากระัดับแนวต้านและมีการย่อตัวลงอย่างต่อเนื่องเมื่อเที่ยบกับค่าเงินดอลลาร์ตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นปี ซึ่งค่าเงินเผชิญบททดสอบอีกครั้งแนว 1.0968-1.0990 ดอลลาร์/ยูโร ซึ่งหาก Break หลุดลงมาจะยืนยันถึงภาวะขาลงและเปิดโอกาสให้ภาพรายวันมีเป้าหมายทดสอบแนว 1.0879 ดอลลาร์/ยูโรซึ่งเป็นต่ำสุดที่เคยทำไว้ในวันที่ 1 ต.ค.

แต่หากค่าเงินยูโรทรงตัวได้เหนือ 1.1149 ดอลลาร์/ยูโรอีกครั้ง ก็จะยืนยันถึงภาวะขาขึ้นและระยะสั้นอาจม่ีแรงเทขายกลับเข้ามาได้ ซึ่งหากทรงตัวและฝ่าขึ้นเหนือระดับดังกล่าวได้ ก็มีโอกาสที่จะขึ้นไปทำสูงสุดตั้งแต่ 1.1239 ดอลลาร์/ยูโร

· ค่าเงินปอนด์ทรงตัวได้บริเวณ 1.2950 ดอลลาร์/ปอนด์ เหนือระดับต่ำสุดรอบ 6 สัปดาห์ จากค่าเงินดอลลาร์ที่มีการปรับแข็งค่าก่อนทราบข้อมูลจ้างงานนอกภาคการเกษตรของรัฐบาลสหรับฯ ในขณะเดียวกันก็มีความกังวลว่า การปราศจากข้อตกลงทางการค้าของ Brexit จะเป็นปัจจัยลบต่อเงินปอนด์

ทั้งนี้ กลุ่มนักลงทุนที่ต้องการเทขายจึงมีการเข้าขายก่อนเพื่อเปิดสถานะเมื่อค่าเงินอยู่ต่ำกว่าระดับเส้นค่าเฉลี่ย SMA 100 วันบริเวณ 1.29000 ดอลลาร์/ปอนด์ เพื่อรอซื้อปิดแนว 1.2820 ดอลลาร์/ปอนด์ สำหรับกลุ่มนักลงทุนที่รอซื้อเข้าช้อนซื้อยังไม่ควรทำอะไร เว้นแต่ราคาจะทรงตัวได้เหนือ 21 วัน หรือ 1.3045 ดอลลาร์/ปอนด์ได้

· นายแรนดัล ควอเลส สมาชิกบอร์ดบริหารของเฟด มีมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ แต่ก็มีการกล่าวย้ำถึงความเสี่ยงที่จะเข้ากระทบต่อการเติบโตได้ โดยเฟดจะเฝ้าระวังและคอยติดตามสถานการณ์ว่าไวรัสโคโรนาจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในรูปแบบใด

· Softbank Corp ของญี่ปุ่นรายงานว่า ผลประกอบการในไตรมาสที่ 3 เพิ่มขึ้น 15% โดยได้รับแรงหนุนจากธุรกิจมือถื

โดยปรับเพิ่มประมาณการผลประกอบการจากการดำเนินงานทั้งปีเป็น 900 พันล้านเยน (8.19 พันล้านเหรียญ) จาก 890 พันล้านเยนก่อนหน้านี้

· ยอดค่าใช้จ่ายภาคครัวเรือนของญี่ปุ่นประจำเดือนธ.ค. ลดลง 4.8% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้านี้ ซึ่งเป็นการปรับลดลงติดต่อกันเป็นเวลา 3 เดือน ท่ามกลางผู้บริโภคที่กำลังเผชิญกับช่วงเวลาที่ลำบากหลังจากการขึ้นภาษีสินค้า รวมทั้งการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาในประเทศจีนที่อาจจะส่งผลกระทบต่อความเสี่ยงครั้งใหม่ในการเติบโตทางเศรษฐกิจโลก

· ผลสำรวจจาก Reuters ระบุว่า เศรษฐกิจญี่ปุ่นมีแนวโน้มหดตัวในอัตราที่เร็วที่สุดนับตั้งแต่ปี 2014 ในไตรมาสที่ 4 เนื่องจากการขึ้นภาษีการขายและพายุไต้ฝุ่นทำให้ผู้บริโภคเกิดการจับจ่ายใช้สอยและการส่งออกที่ซบเซาลง

รวมทั้งการเพิ่มแรงกดดันต่อแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจ นั่นก็คือ การระบาดของไวรัสโคโรนาจากประเทศจีนซึ่งส่งผลกระทบต่อการส่งออกและผลผลิตจากโรงงาน

โดยผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ในไตรมาสที่ 4 คาดว่าจะหดตัว 3.7% ขณะที่ผลสำรวจพบว่า ในไตรมาสที่ 3 มีการเติบโตที่ระดับ 1.8%

ทั้งนี้ เป็นการหดตัวครั้งแรกใน 5 ไตรมาสและลดลงมากที่สุดนับตั้งแต่การลดลงที่ระดับ 7.4% ในไตรมาสที่ 2 ช่วงปี 2014 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นครั้งสุดท้ายที่ญี่ปุ่นยกภาษีการขาย

· นายชินโซ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น เรียกร้องให้รัฐบาลของเขาทำทุกวิถีทางที่จำเป็นในการจำกัดผลกระทบทางเศรษฐกิจจากไวรัสโคโรนา ที่อาจรวมไปถึงการปรับลดการสำรองงบประมาณ

รัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐศาสตร์ของญ๊่ปุ่น กล่าวว่า ความเสี่ยงจากไวรัสโคโรนาดูจะเข้ากระทบกับการอุปโภคบริโภคภายในประเทศ ดังนั้น เราจึงต้องจับตาสถานการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิด ในขณะที่ญี่ปุ่นเตรียมเป็นเจ้าภาพจัดงานโอลิปิกปี 2020 ในเดือนก.ค. และส.ค. ก็ยังมีความกังวลว่าผลกระทบดัังกล่าวจะส่งผลต่อธุรกิจการท่องเที่ยวในเดือนดังกล่าว

· ทางการจีนทำการส่งทีมงานลงพื้นที่เมืองอูฮั่น ซึ่งเป็นศูนย์กลางการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา หลังจากที่ ดร. หลี่ เหวินเหลี่ยง ที่เป็นแพทย์ประจำเมืองอูฮั่นได้เสียชีวิตลงโดยไวรัสดังกล่าวในเช้าวันนี้ ณ โรงพยาบาลอูฮั่น เซ็นทรัล ที่เขาเป็นสถานที่ปฏิบัติงาน ซึ่งการเสียชีวิตนั้นทำให้ชาวจีนมีการไว้อาลัยและแสดงความโกรธแค้น และเรียกร้องให้ทางการแสดงความขอโทษต่อหมอท่านดังกล่าว เนื่องจากเขาเป็นหมอรายแรกที่ออกมาเตือนเรื่องการระบาดของไวรัสโคโรนาแต่กลับถูกตำรวจอูฮันบังคับลงชื่อในเอกสารกล่าวหาว่าเขาเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จ และทำให้สังคมออนไลน์ โดยเฉพาะเว่ยป๋อของจีน พากันติด #IWantFreedomOfSpeech

· นายสี จิ้นผิง ประธานาธิบของจีนและนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้เจรจาร่วมกันผ่านโทรศัพท์เกี่ยวกับการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในวันนี้ โดยผู้นำจีนได้ระบุว่า จีนมั่นใจอย่างเต็มที่ว่าจะสามารถกำจัดการแพร่ระบาดครั้งนี้ได้

ท่ามกลางรายงานว่า ปัจจุบันมียอดผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาในจีนสูงกว่า 31,000 ราย และยอดผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นสูงกว่า 636 ราย ขณะที่ทางการจีนได้ใช้มาตรการเพิ่มเติม เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสดังกล่าว

· นายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน มีการสร้างความมั่นใจให้กับสหรัฐฯซึ่งเป็นประเทศคู่ค้าคนสำคัญว่าจะดำเนินการทุกอย่างเพื่อหยุดยั้งไวรัสโคโรนา ขณะที่ล่าสุดมียอดผู้เสียชีวิตแล้วเกือบ 640 ราย ประกอบไปด้วย นายแพทย์ที่ออกโรงเตือนถึงไวรัสดังกล่าวแต่ถูกจับกุมว่ากระทำการอันเป็นเท็จโดยตำรวจ

ทั้งนี้ ผู้นำจีนได้มีการต่อสายกับผู้นำสหรัฐฯ ใจความว่า จีนกำลังค่อยๆประสบความสำเร็จ และมีความมั่นใจว่าจะสามารถเอาชนะไวรัสนี้ได้ โดยไม่กระทบกับการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว ขณะที่ธนาคารกลางของจีนเพิ่มกำลังการสนับสนุนเศรษฐกิจจากปัญหาการระบาดของไวรัสโคโรนา

อย่างไรก็ดี ในช่วงไตรมาสแรกนั้น คาดว่าเศรษฐกิจจีนจะชะลอตัวลงแตะ 2% จาก 6% ในไตรมาสที่ 4 และอาจค่อยๆรีบาวน์กลับมาได้ หากการแพร่ระบาดของไวรัสนั้นสิ้นสุดลง

· รายงานจากรอยเตอร์สแนะจับตาข้อมูลการจ้างงานภาครัฐบาลสหรัฐฯ หรือ Non-Farm Payrolls ในคืนนี้ โดยคาดว่าจะเห็นการจ้างงานแข็งแกร่งมากขึ้น

นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสจาก Wells Fargo Securities กล่าวว่า รายงานจ้างงานจะเป็นตัวสนับสนุนคาดการณ์เกี่ยวกับทิศทางเศรษฐกิจที่เติบโตในระดับปานกลาง แต่ก็อาจมีการปรับทบทวนข้อมูลก่อนหน้า และนั่นจะสะท้อนว่าตลาดแรงงานมีความอ่อนตัวลงไปบ้าง และจะมีผลต่อสัญญาณชี้นำต่อไปสำหรับการจ้างงาน

ทั้งนี้ ผลสำรวจนักเศรษฐศาสตร์จากรอยเตอร์ส มองไปในทางเดียวกันว่าข้อมูลจ้างงานรัฐบาลในเดือนม.ค. จะเพิ่มขึ้นมาที่ 160,000 ตำแหน่ง จากการจ้างงานในภาคก่อสร้าง, การท่องเที่ยว และอุตสาหกรรมการบริการ แต่ข้อมูลในเดือนธ.ค.อาจถูกปรับลดลงให้ต่ำกว่าระดับเฉลี่ย 176,000 ตำแหน่งได้ ขณะที่การจ้างงานในเดือนก.พ. มีแนวโน้มจะชะลอตัวลงจากปัญหาไวรัสโคโรนา ที่ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตในจีนเป็นจำนวนมาก และมีผู้ติดเชื้อไปทั่วโลก ที่จะเป็นอุปสรรคต่อห่วงโซ่อุปทาน โดยเฉพาะการผลิตในกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ตลอดจนบริษัทแอปเปิ้ล

· ข้อมูลภาคอุตสาหกรรมเยอรมนีปรับตัวลงแตะระดับต่ำสุดในรอบกว่า 10 ปีในเดือนธ.ค. ท่ามกลางความอ่อนแอของภาคการผลิตที่ดูจะเป็นปัจจัยฉุดรั้งการเติบโตของเยอรมนีที่เป็นประเทศเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดของยุโรป

ทั้งนี้ ข้อมูลอุตสาหกรรมการผลิตดิ่งลงแตะ -3.5% ในเดือนธ.ค. จากคาดการณ์ที่ว่าจะปรับตัวลงเพียง -0.2% ซึ่งข้อมูลล่าสุดถือเป็นการปรับตัวลงที่มากที่สุดนับตั้งแต่ม.ค. ปี 2009 ขณะที่ข้อมูลในเดือนพ.ย. ถูกปรับทบทวนเพิ่มมาที่ 1.2% จากรายงานเดิมที่ 1.1%

ด้านยอดส่งออกเยอรมนีเพิ่มขึ้น 0.1% แต่ยอดนำเข้าลดลง 0.7% ในเดือนธ.ค.

· สถาบันจัดอันดับ S&P Global Ratings ปรับทบทวนตัวเลขคาดการณ์จีดีพีจีนปีนี้ลงจาก 5.7% สู่ระดับ 5% โดยหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ประจำ APAC ของ S&P ระบุถึง สภาพเศรษฐกิจโดยส่วนใหญ่จะได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ และการจะฟื้นตัวอาจจะเห็นได้ในช่วงไตรมาสที่ 3/2020

ขณะที่ภาพรวมมองว่าเศรษฐกิจจีนปีหน้าดูจะยังเติบโตได้แบบ "Above-Trend" ที่ระดับ 6.4% จากคาดการณ์เดิมที่ 5.6% ในปี 2021

· ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นหลังจากที่รัสเซีย กล่าวสนับสนุนข้อเสนอของกลุ่มโอเปกและชาติพันธมิตรอื่นๆในการปรับลดกำลังการผลิตเพิ่มท่ามกลางอุปสงค์ที่หดตัว และจีนกำลังต่อสู้กับการแพร่ระบาดของไวรัสที่ดูจะส่งผลกระทบต่อตลาดทั่วทุกมุมโลก

น้ำมันดิบ Brent ปรับขึ้น 32 เซนต์ หรือ +0.6% ท่ี่ 55.25 เหรียญ /บาร์เรล หลังจากที่ WTI ปรับขึ้น 26 เซนต์ หรือ +0.5% ที่ 51.21 เหรียญ/บาร์เรล

แหล่งข่าวสามรายเปิดเผยกับรอยเตอร์สว่า กลุ่มโอเปกและชาติพันธมิตร อันหมายรวมถึงรัสเซียที่เราเรียกรวมว่า OPEC+ จะทำการปรับลดกำลังการผลิตลงแตะ 600,000 บาร์เรล/วัน


บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com