• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคค่ำ) ประจำวันที่ 23 มกราคม 2563

    23 มกราคม 2563 | Economic News

· ค่าเงินเยนที่เป็นสินทรัพย์ปลอดภัยแข็งค่า ส่วนเงินหยวนอ่อนค่า ท่ามกลางตลาดที่ยังกังวลกับสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียแข็งค่า หลังการประกาศอัตราว่างงานออกมาลดลงมากกว่าที่คาด

โดยค่าเงินหยวนอ่อนค่าลงมาแถว 6.9254 หยวน/ดอลลาร์ ด้านค่าเงินเยนแข็งค่า 0.2% แถว 109.56 เยน/ดอลลาร์

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯอายุ10 ปี ก็ปรับลดลงทำระดับต่ำสุดในรอบ 2 สัปดาห์ ขณะที่ราคาพันธบัตรปรับสูงขึ้น

ด้านค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่นๆ โดยดัชนีดอลลาร์เคลื่อนไหวแถวระดับ 97.552 จุด

ด้านค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียแข็งค่าขึ้น 0.5% แถว 0.6879 ดอลลาร์ หลังรายงานอัตราว่างงานประกาศออกมาลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 9 เดือน ประกอบกับจำนวนงานที่เพิ่มขึ้น 28,900 ตำแหน่ง ในเดือน ธ.ค. กระแสคาดการณ์ว่าธนาคารกลางออสเตรเลียจะทำการปรับลดดอกเบี้ยในเดือน ก.พ. จึงลดน้อยลงไป




· ค่าเงินเยนแข็งค่าหลุด 110 เยน/ดอลลาร์ จับตาเป้าหมายต่อที่ระดับ 61.8% Fib

นักวิเคราะห์จาก FX Street ระบุว่า ค่าเงินเยนในช่วงสายวันนี้เคลื่อนไหนแถว 109.64 เยน/ดอลลาร์ โดยเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆระหว่าง 109.59 – 109.86 เยน/ดอลลาร์ ท่ามกลางตลาดที่กำลังอยู่ในภาวะ Risk-off หรือหลีกเลี่ยงการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง ท่ามกลางข่าวที่เต็มไปด้วยประเด็นเกี่ยวกับเชื้อไวรัสโคโรนา

USD/JPY levels

เนื่องจากช่วงสัปดาห์นี้ไม่ค่อยมีตัวเลขทางเศรษฐกิจที่สำคัญจากสหรัฐฯ ค่าเงินเยนจึงมีแนวโน้มที่จะเคลื่อนไหวในทิศทางแข็งค่าหรือต่ำลงต่อไป โดยค่าเงินเยนอาจกลับมาอ่อนค่าอีกครั้งหากลงไปถึงเส้นค่าเฉลี่ยราย 21 วัน แต่ถ้าหากหลุดแนวรับนี้ลงมาจะมีเป้าหมายต่อไปอยู่ที่เส้นค่าเฉลี่ยราย 200 วัน แถว 108.00 เยน/ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับ 61.8% Fibonacci




· ยูโรทรงตัวในกรอบแบบไร้ทิศทาง ก่อนหน้าการประชุมอีซีบี

บทวิเคราะห์จาก FX Street ระบุว่า ค่าเงินยูโรค่อนข้างทรงตัวในกรอบแคบๆระหว่าง 1.1120 – 1.1070 ดอลลาร์/ยูโรก่อนหน้าการประชุมครั้งสำคัญของอีซีบี

โดยการประชุมอีซีบีคืนนี้ถูกคาดว่าจะประกาศคงอัตราดอกเบี้ยและนโยบายการเงินไว้ดังเดิม หลังจากที่อีซีบีได้ปรับลดดอกเบี้ยลงสู่ระดับ -0.5% ในเดือน ก.ย. และประกาศกลับมาเข้าซื้อพันธบัตรในเดือน ต.ค.

ประเด็นสำคัญที่ตลาดให้ความสนใจในการประชุมคืนนี้ คือการประกาศเริ่มพิจารณากลยุทธ์ใหม่ของอีซีบี ซึ่งการประเมินสภาพเศรษฐกิจยูโรโซนเพื่อนำมาปรับใช้กับนโยบายการเงินอาจใช้เวลานานถึง 1 ปี แต่จะเป็นประเด็นที่ตลาดให้ความสนใจอย่างมาก โดยเฉพาะในกรณีที่ นางคริสทีน ลาการ์ด ประธานอีซีบี มีการส่งสัญญาณเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงนโยบาย ค่าเงินยูโรก็อาจมีการเคลื่อนไหวครั้งสำคัญได้ ขึ้นอยู่กับถ้อยแถลงหลังการประชุมเป็นหลัก

Technical levels

หากค่าเงินปิดตลาดต่ำกว่าระดับ 1.1070 ดอลลาร์/ยูโร ซึ่งเป็นเส้นแนวรับของเทรนขาขึ้น อาจยิ่งหนุนให้ทิศทางขาลงมีกำลังมากขึ้น และเปิดโอกาสให้ค่าเงินอ่อนค่าลงไปถึงระดับ 1.0981 ดอลลาร์/ยูโร ที่เป็นระดับต่ำสุดของวันที่ 29 พ.ย.

แต่หากราคาฟื้นตัวเหนือระดับ 1.1173 ดอลลาร์/ยูโร จะเป็นการลบล้างทิศทางขาลง และยืนยันถึงการกลับตัวมาเป็นขาขึ้นระยะสั้น

· ธนาคารกลางจีนสร้างความประหลาดใจให้กับตลาด ด้วยการประกาศคงอัตราดอกเบี้ยสำหรับนโยบายปล่อยเงินกู้ระยะกลางไว้ที่ 3.15%

· การประชุม World Economic Forum ณ กรุงดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้กล่าวข่มขู่จะขึ้นภาษีรถยนต์นำเข้าจากยุโรปอีกครั้ง หากไม่สามารถหาข้อตกลงการค้ากับยุโรปได้ โดยก่อนหน้านี้ นายทรัมป์เคยระบุว่า ภาษีนำเข้ารถยนต์จากยุโรปอาจที่เพิ่มสูงขึ้นถึง 25%


· รายงานจาก Reuters ระบุว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้เคยให้สัญญาว่าจะปรับสมดุลการค้าระหว่างสหรัฐฯและประเทศคู่ค้ารายใหญ่ในระหว่างการดำรงตำแหน่งของเขา ซึ่งนายทรัมป์ก็สามารถทำให้จริง จากการลงนามในข้อตกลงการค้าเฟสแรกกับจีน และกำลังอยู่ในระหว่างการเจรจาในเฟสที่ 2 รวมถึงการปรับปรุงสัญญาการค้า North American Free Trade Agreement (NAFTA) ร่วมกับแคนาดาและเม็กซิโกก็ประสบความสำเร็จด้วยดี ดังนั้นเป้าหมายต่อไปในการปรับดุลการค้าของนายทรัมป์ น่าจะเพ่งเล็งไปยัง ยุโรป อังกฤษหลัง Brexit และ อินเดีย

· องค์กร WHO ระบุว่า จะมีการตัดสินใจภายในวันพฤหัสบดีนี้ ว่าจะระบุให้การระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาเป็นภาวะฉุกเฉินระดับโลกหรือไม่ โดยหากทางองค์กรประกาศให้เป็นเช่นนั้น จะถือเป็นภาวะฉุกเฉินทางสุขภาพระดับโลกครั้งที่ 6 ที่เคยเกิดขึ้นในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา

· นักวิเคราะห์จากสถาบัน Independent Strategy มีมุมมองว่า สถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดของเชื้อไวรัสโคโรนายังไม่ได้ผ่านพ้นไป เนื่องจากผู้เชี่ยวชาญยังไม่สามารถระบุถึงคุณสมบัติเฉพาะของไวรัสตัวนี้ได้ และการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสก็ยังไม่ชัดเจนจนกว่าจะผ่านช่วงตรุษจีนไป รวมถึงจำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง



· การประชุมอีซีบีในคืนนี้ถูกคาดว่าจะยังคงนโยบายการเงินต่อไปด้วยท่าทีที่อาจยังจำเป็นต้องใช้นโยบาย QE หากจำเป็น รวมทั้งการปรับลดดอกเบี้ยตามมาจนกว่าเงินเฟ้อจะขยายตัวสู่ระดับเป้าหมายของอีซีบีได้

· แม้ทางอีซีบีจะมีการออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจมากมายในสมัยที่นายมาริโอ ดรากี ยังดำรงตำแหน่งประธานอีซีบี แต่อัตราเงินเฟ้อของยูโรโซนก็ยังไม่สามารถขยายตัวถึงเป้าหมายของอีซีบีได้เสียที

ดังนั้นในการประชุมคืนนี้ อีซีบีจะประกาศทบทวนกลยุทธ์ (Strategic review) เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2003 เพื่อหาคำตอบว่า ทำไมอัตราเงินเฟ้อถึงไม่เติบโตตามเป้า และจะสามารถปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ได้อย่างไร

นักวิเคราะห์จากสถาบัน Natixis ระบุว่า ประกาศทบทวนกลยุทธ์จะเป็นประเด็นสำคัญที่ตลาดจะจับตาในการประชุมคืนนี้ แต่เนื่องจากการพิจารณาน่าจะยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น จึงไม่คาดหวังว่าจะมีข้อมูลที่สำคัญออกมาจากการประชุมคืนนี้

· โพลสำรวจตัวแทนพรรคเดโมแครตที่มีแนวโน้มชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯล่าสุดจาก CNN พบว่า นายเบอร์นี แซนเดอร์ส วุฒิสมาชิกจากรัฐเวอร์มอนท์ มีคะแนนความนิยมนำขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ที่ 27% ตามมาโดยนายโจ ไบเดน อดีตรองประธานาธิบดีในสมัยโอบามา ที่ 24% ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่นายแซนเดอร์สมีคะแนนนำขึ้นมาเป็นอันดับที่ 1

ขณะที่ตัวแทนกลุ่มถัดไปที่มีความคะแนนนิยมทิ้งห่างลงมากว่า 10% ก็คือนางเอลิซาเบธ วาร์เรน วุฒิสมาชิกจากรัฐแมสซาชูเซตส์ และนายพีท บัตทิเก อดีตผู้ว่าเมืองเซาท์เบนด์ รัฐอินเดียนา

ด้านผลสำรวจจากสำนักข่าวอื่นๆ อย่าง FiveThirtyEight พบว่า นายไบเดนยังมีคะแนนนำเป็นอันดับ 1 แต่ตามมาติดๆโดยนายแซนเดอร์ส ทิ้งห่างกันเพียง 6% ขณะที่ผลสำรวจจาก Monmouth University พบว่า นายไบเดนมีคะแนนนำอยู่ที่ 30% ส่วนนายแซนเดอร์สที่ 23% ห่างกันเพียง 7%

สาเหตุที่ความนิยมในตัวนายแซนเดอร์สพุ่งสูงขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆ ทางสำนักข่าวคาดว่า น่าจะเป็นเพราะเดิมทีมีผู้ชื่นชอบในตัวเขามากอยู่แล้ว แต่เนื่องจากปัญหาด้านสุขภาพ ทำให้เขาแคมเปญหาเสียงของเขาชะงักลงในเดือน ต.ค. ก่อนที่เขาจะกลับมาเดินหน้าหาเสียงอย่างเต็มกำลังอีกครั้งเมื่อไม่นานมานี้

· ราคาน้ำมันดิบปรับลดลงต่ำสุดในรอบ 7 สัปดาห์ ในวันนี้ โดยร่วงลงมากกว่า 1% เนื่องจากความกังวลการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสของระบบทางเดินหายใจจากประเทศจีน อาจทำให้ความต้องการใช้เชื้อเพลิงลดลง ส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอตัวลงเหมือนกับโรคซาร์สที่ระบาดเกือบ 20 ปีที่แล้ว

เชื้อไวรัสโคโรน่า ได้สังหารผู้คนไปแล้ว 17 ราย จากการเจ็บป่วยผ่านทางเดินหายใจตั้งแต่แต่ปลายปีที่แล้วที่เมืองอู่ฮั่นซึ่งเป็นเมืองที่มีผู้คนอาศัยอยู่ 11 ล้านคนในภาคกลางของจีน

ทั้งนี้ น้ำมันดิบ Brent ปรับลดลง 87 เซนต์ หรือ 1.4% ที่ระดับ 62.34 เหรียญ/บาร์เรล และก่อนหน้านี้ลดลงสู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ 4 ธันวาคม หลังจากที่ร่วงลง 2.1% ในช่วงก่อนหน้า

ขณะที่น้ำมันดิบ WTI ปรับลดลง 94 เซนต์ หรือ 1.6% ที่ระดับ 55.80 เหรียญ/บาร์เรล หลังจากก่อนหน้านี้ลดลงสู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ 3 ธันวาคม ลดลง 2.7%



· ราคาน้ำมัน WTI ทำระดับต่ำสุดในรอบ 7 สัปดาห์ จับตารายงานสต็อกน้ำมันสหรัฐฯ

ราคาน้ำมัน WTI ปิดตลาดเมื่อคืนลดลงกว่า 3.7% ทำระดับต่ำสุดที่ 56.05 เหรียญ/บาร์เรล ท่ามกลางปริมาณอุปสงค์ที่อ่อนแอลง เนื่องจากปัญหาความตึงเครียดทางการเมือง รวมถึงสถานการณ์ในตะวันออกกลาง

ตลาดจะจับตารายงานสต็อกน้ำมันของสหรัฐฯคืนนี้ ซึ่งปริมาณสต็อกน้ำมันสัปดาห์ก่อนถูกคาดว่าจะลดลง -1.117 ล้านบาร์เรล เทียบกับ -2.549 ล้านบาร์เรล เมื่อสัปดาห์ก่อนหน้า


Technical Analysis

เนื่องจากราคาน้ำมันปรับลดลงต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ยราย 200 วันที่ระดับ 57.65 05 เหรียญ/บาร์เรล รวมถึงหลุดแนวรับของเทรนขาขึ้นที่ 58.40 05 เหรียญ/บาร์เรล ดังนั้น ราคาน้ำมันจึงเข้าสู่แนวโน้มทิศทางขาลง และมีเป้าหมายที่ระดับ 54.90 เหรียญ/บาร์เรล


บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com