• สรุปข่าวตลาดหุ้น (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 22 มกราคม 2563

    22 มกราคม 2563 | SET News

· ตลาดหุ้นสหรัฐฯปิดปรับตัวลงจากระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์จากโรคระบาดในจีนที่แพร่ระบาดไปยังสหรัฐฯ ขณะที่ไอเอ็มเอฟปรับลดคาการณ์เศรษฐกิจโลกที่ได้รับผลกระทบจาก Trade War และการชะลอตัวของเศรษฐกิจอินเดียและตลาดเกิดใหม่ โดยจะเห็นได้ว่า 3 ดัชนีหลักของสหรัฐฯปิดปรับตัวลงจากที่ทำระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในช่วงหลายวันทำการที่ผ่านมา

ดัชนีดาวโจนส์ปิด -152.06 จุด หรือ -0.52% ที่ 29,196.04 จุด ขณะที่ S&P500 ปิด -0.26% ที่ 3,320.8 จุด และ Nasdaq ปิด -0.19% ที่ 9,370.81 จุด

ดัชนีสหรัฐฯ ร่วงลงหลังจากที่มีข่าวจากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติสหรัฐฯออกมายืนยันว่าพบผู้ติดเชี้อไวรัสโคโรนาในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นไวรัสที่ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตในจีนแล้วล่าสุดที่ 6 ราย

· นักกลยุทธ์การตลาดอาวุโสจาก Allianz Investment Management กล่าวว่า ประเด็นไวรัสโคโรนาที่กำลังเป็นหัวข้อความเสี่ยงใหม่ต่อตลาดการเงิน รวมถึงความไม่แน่นอนครั้งใหม่ จึงทำให้เราเห็นความผันผวนในตลาดหุ้นและมีแรงเทขายสินทรัพย์เสี่ยงออกมา และคาดว่าจะทำให้นักลงทุนค่อนข้างระมัดระวังการลงทุนตั้งแต่สัปดาห์หน้าและเดือนต่อๆไป เนื่องจากไวรัสที่พบในเวลานี้เกิดขึ้นในช่วงก่อนจะเข้าสู่ช่วงเทศกาลตรุษจีน จึงส่งผลกระทบอย่างหนักต่อหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว

· เมื่อวานนี้ตลาดหุ้นฮ่องกงร่วงนำหุ้นกลุ่มภูมิภาคหลังจากที่สถาบันจัดอันดับ Moody’s ปรับลดความน่าเชื่อถือของประเทศลงสู่ระดับ Aa3 จากเดิม Aa2 โดยดัชนีฮั่งเส็งร่วง 2.67% ท่ามกลางหุ้น AIA ที่ดิ่งกว่า 3%

· ตลาดหุ้นเอเชียเปิดเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในเช้านี้ ท่ามกลางตลาดที่ยังคงกังวลต่อไวรัสโคโรนาที่ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นเป็น 6 ราย โดยดัชนีนิกเกอิเปิดค่อนข้างทรงตัว ขณะที่ Topix เปิดปรับตัวลงเล็กน้อย

ด้านดัชนี Kospi ของเกาหลีใต้เปิดทรงตัว ท่ามกลางธนาคารกลางเกาหลี (BoK) ระบุว่า จีดีพีของประเทศจะขยายตัวได้ 1.2% ในไตรมาสที่ 4/19 ซึ่งเป็นระดับเดียวกับในไตรมาสก่อน แต่ก็สูงกว่าที่คาดว่าจะเติบโตได้ 0.8% และถือเป็นระดับการขยายตัวที่รวดเร็วที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาสที่ 3/17

ภาพรวมดัชนี MSCI ที่ไม่รวมญี่ปุ่นเปิดทรงตัวเช่นกันในเช้านี้

· อ้างอิงจากสำนักข่าวอินโฟเควสท์

-นักบริหารเงิน ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ไว้ระหว่าง 30.30 - 30.40 บาท/ดอลลาร์ โดยหัวหน้านักกลยุทธ์ตลาดทุนสายงานธุรกิจตลาดเงินทุน ธนาคารกรุงไทย เชื่อว่าระหว่างวันจะมีแรงขายเงินบาทตามภาพตลาดที่ปิดรับความเสี่ยง แต่เมื่อขึ้นไปใกล้ระดับ 30.5 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นจุดสุงสุดของปีนี้ก็จะมีแรงขายจากผู้ส่งออกกลับมาเช่นกัน

-อธิบดีกรมสรรพากรไทย เปิดเผยกรณีที่มีข้อเสนอให้มีการขยายเวลาการยื่นและชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของปี 2562 จากเดิมได้ถึงสิ้นเดือน มี.ค.63 ไปเป็นสิ้นเดือน มิ.ย.63 โดยเบื้องต้นเป็นการหารือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมกับนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี แต่ทั้งนี้ยังไม่มีคำสั่งให้ดำเนินการ โดยการเลื่อนเวลาการยื่นและชำระภาษีบุคคลธรรมดาออกไปนั้น ในทางกฎหมายสามารถทำได้ แต่ต้องเป็นนโยบายจากรัฐบาลว่าจะให้กรมสรรพากรดำเนินการหรือไม่ เพราะจำต้องออกเป็นกฎกระทรวง

-รมช.พาณิชย์ไทย เปิดเผยว่า สถานการณ์การลงทุนของนักลงทุนต่างชาติในไทย ปี 2562 ที่ผ่านมาเป็นไปในทิศทางที่ดีโดยมีนักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง เป็นผลมาจากการที่ภาครัฐตระหนักถึงความสำคัญในเรื่องบรรยากาศที่ดีเพื่อกระตุ้นให้เกิดการลงทุนจากต่างชาติ และการมีนโยบายส่งเสริมการลงทุนและออกมาตรการอำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยจะเห็นได้จากข้อมูลการส่งเสริมการลงทุนของ BOI ที่เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้โดยมีมูลค่าการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศกว่า 500,000 ล้านบาท

-คณะรัฐมนตรีไทย (ครม.) มีมติเห็นชอบเขตเศรษฐกิจพิเศษ จ.ชายแดนภาคใต้ ยก อ.จะนะ จ.สงขลา เป็นเมืองต้นแบบอุตสาหกรรมก้าวหน้าแห่งอนาคต คาดใช้เงินลงทุนประมาณ 18,680 ล้านบาท หวังเกิดการจ้างงานในพื้นที่ประมาณ 1 แสนอัตรา

-โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีไทย เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่อย่างเป็นทางการ (ครม.สัญจร) มีมติเห็นชอบการเพิ่มทุนของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) อีก 20,000 ล้านบาท ทั้งนี้ เพื่อให้ ธ.ก.ส. ได้ทำหน้าที่ในการพัฒนาเกษตรกร และส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากได้ครบทุกมิติ

-ผู้บริหารงานวิจัยเศรษฐกิจและตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) กล่าวว่า การที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ผ่อนคลายเกณฑ์ LTV ให้มีความยืดหยุ่นขึ้นนั้น มองว่ายังไม่สามารถผลักดันการเติบโตของภาคอสังหาริมทรัพย์ไทยได้ เนื่องจากกำลังซื้อของประชาชนในปัจจุบันยังมีข้อจำกัด โดยเฉพาะจากหนี้สินครัวเรือนที่สูงถึง 79% ของผลผลิตมวลรวมในประเทศ(GDP) และหนี้ครัวเรือนต่อรายได้ยังสูงถึง 220% ทำให้การจับจ่ายใช้สอยชะลอตัว แม้ว่ารัฐบาลจะมีการกระตุ้น และ ธปท.ผ่อนคลายเกณฑ์ LTV ก็ตาม ซึ่งมองว่า LTV ที่ผ่อนคลายลงในครั้งนี้จะช่วยดูดซับซัพพลายอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ในตลาดให้ลดลงได้เพียงเล็กน้อย

บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com