• สรุปข่าวตลาดหุ้น (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 20 มกราคม 2563

    20 มกราคม 2563 | SET News



· ตลาดหุ้นสหรัฐฯปิดปรับตัวขึ้นทำสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดย 3 ดัชนีหลักหลับมาปิดรายสัปดาห์ที่แข็งแกร่งที่สุดนับตั้งแต่ส.ค. ปีที่แล้ว หลังจากที่ข้อมูลที่อยู่อาศัยสหรัฐฯออกมาแข็งแกร่ง ขณะที่ข้อมูลเศรษฐกิจจีนที่ออกมาดีจึ้นดูจะช่วยเพิ่มความหวังว่าจะสามารถทำให้เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวได้


ดัชนีดาวโจนส์ปิด +0.17% ที่ 29,348.1 จุด ขณะที่ S&P500 ปิด +0.39% ที่ 3,329.62 จุด และ Nasdaq ปิด +0.34% ที่ 9,388.94 จุด


สำหรับภาพรายสัปดาห์ ดาวโจนส์ปิด +1.82%, S&P500 ปิด +1.96% และ Nasdaq ปิด +2.29%


ความเชื่อมั่นในตลาดหุ้นดูสดใสมากขึ้นในสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากที่สหรัฐฯและจีนลงนามข้อตกลงเฟสแรกร่วมกัน ขณะที่ช่วงต้นตลาดตอบรับข้อมูลจีดีพีจีนที่ทรงตัวในไตรมาสสุดท้าย แม้ว่าจะเป็นอัตราที่ชะลอตัวลงมาดที่สุดในรอบเกือบ 30 ปีก็ตาม ในขณะที่ช่วงค่ำยอดก่อสร้างบ้านในสหรัฐฯเดือนธ.ค. พุ่งขึ้นทำสูงสุดรอบ 13 ปีในเดือน ธ.ค. จึงบ่งชี้ว่าตลาดที่อยู่อาศัยมีการฟื้นตัวกลับท่ามกลางอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำ


อย่างไรก็ดี บรรดานักลงทุนคาดหวังว่าภาคบริษัทจะมีผลประกอบการที่ดีขึ้นในอนาคตจากการที่สหรัฐฯและจีนเริ่มมีการสงบศึกสงครามทางการค้าระหว่างกัน



· ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวสูงขึ้นในเช้าวันนี้ หลังจากที่ธนาคารกลางจีน หรือ PBoC ประกาศด้อัดฉีดเงิน 2 แสนล้านหยวน (ประมาณ 2.903 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ) เข้าสู่ระบบการเงินผ่านข้อตกลง Reverse Repos ประเภทอายุ 14 วันที่อัตราดอกเบี้ย 2.65% เพื่อเป็นการรักษาสภาพคล่องในระบบธนาคารให้เพียงพอก่อนเทศกาลตรุษจีน


ดัชนีนิกเกอิเปิด +0.11% ขณะที่ Topix เปิด +0.38% ทางด้าน Kospi ของเกาหลีใต้เปิด +0.46% และดัชนี S&P/ASX200 เปิด +0.3% ภาพรวมดัชนี MSCI ที่ไม่รวมญี่ปุ่นเปิด +0.1%


· อ้างอิงจากสำนักข่าวอินโฟเควสท์

- นักบริหารการเงินคาดค่าเงินบาทจะอยู่ในกรอบ 30.35-30.50 บาท/ดอลลาร์ โดยที่วันศุกร์อ่อนค่า เนื่องจากมีแรงซื้อ ดอลลาร์เข้ามา ประกอบกับมีเงินทุนต่างประเทศไหลออก และและมี flow ไหลออก จึงทำให้ระหว่างวันไปทำนิวไฮในรอบ 3 เดือน ที่ระดับ 30.53 บาท/ดอลลาร์

- ธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์) คาดอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ของไทยในปี 63 จะอยู่ในระดับปานกลาง 2.7% จากปี 62 ที่ขยายตัว 2.5% โดยมองว่าน่าจะได้รับผลบวกจากความต้องการสินค้าส่งออกดีขึ้นล็กน้อย การบริโภคภาคเอกชนพื้นตัว รวมถึงการให้ความสำคัญกับการดำเนินโครงการลงทุนของภาครัฐอย่างจริงจังมากขึ้นในปีนี้

ธนาคารโลกได้เสนอรัฐบาลให้ออกมาตรการดูแลเศรษฐกิจระยะสั้น โดยต้องมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเม็ดเงินเข้าสู่ ระบบเศรษฐกิจ ซึ่งฐานะการคลังของประเทศยังมีศักยภาพที่ทำได้ และต้องมีการดูแลผู้มีรายได้น้อยอยู่ในระบบประกันสังคม ดูแลคนจน ผู้สูง อายุ และผู้ตกงาน อีกทั้งต้องเร่งการลงทุนตามแผนการพัฒนาประเทศ 20 ปี โดยเฉพาะโครงการร่วมลงทุนรัฐกับเอกชน (PPP) โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ขณะที่การการพัฒนาเศรษฐกิจไทยระยะยาว ต้องมีการเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน ประเทศ เพื่อให้ประเทศก้าวสู่ประเทศรายได้สูงภายในปี 2580

- ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (Economic Intelligence Center : EIC) ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยปี 2563 จะเติบโตที่ 2.7% ฟื้นตัวเล็กน้อยจากปี 2562 ที่คาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวที่ 2.5% ตามภาคส่งออกที่มีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปจากภาวะการค้าโลกที่น่าจะปรับดีขึ้นบ้าง ส่วนหนึ่งเกิดจากการบรรลุข้อตกลงทางการค้าระยะแรกระหว่างสหรัฐฯ และจีน (Phase 1) ที่จะนำไปสู่การยกเลิกและลดภาษีสินค้านำเข้าบางส่วนที่ขึ้นไปก่อนหน้า รวมถึงแนวนโยบายการเงินและการคลังของหลายประเทศทั่วโลกที่มีทิศทางผ่อนคลายเพื่อประคับประคองเศรษฐกิจ

ขณะที่ คาดว่า เงินบาทยังมีแนวโน้มแข็งค่าในปีนี้ เพราะยังมีแรงกดดันต่อเนื่อง ไทยยังเกินดุลบัญชีเดินสะพัดสูง ประกอบกับ เมื่อเวลาเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว ดอลลาร์สหรัฐจะอ่อนค่า เพราะความต้องการดอลลาร์ลดลง นอกจากนี้ยังมีแนวโน้มเงินของทุนไหลเข้าใน ตลาดเกิดใหม่เพิ่มขึ้นด้วย

- ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) นำคณะผู้บริหาร สรท.เข้าพบนายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อหารือแนวทางการแก้ไขปัญหาวิกฤตค่าเงินบาทต่อภาคการส่งออก และการอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการค้าระหว่างประเทศและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง

- ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กล่าวถึงการลงนามในข้อตกลงเศรษฐกิจการค้าระยะแรก ระหว่างสหรัฐฯ กับจีนว่า นับเป็นข่าวดีต่อประเทศไทย เนื่องจากเป็นสัญญาณบวกชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากที่ผ่านมาเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2562 สหรัฐฯ ได้ปรับลดภาษีสินค้าสหรัฐฯ กลุ่ม 1.2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ เหลืออัตรา 7.5% (จากเดิม 15%) และชะลอการเก็บภาษีสหรัฐฯ เพิ่มเติม ตลอดจนเมื่อวันที่ 13 มกราคม 2563 สหรัฐฯ ปรับสถานะประเทศจีนด้านค่าเงินให้ดีขึ้น โดยยกเลิกการขึ้นบัญชีดำจีนในฐานะประเทศบิดเบือนค่าเงิน (US currency manipulator list) เหลือแค่การอยู่ในกลุ่มประเทศที่เฝ้าจับตา (watch list) ซึ่งสัญญาณบวกเหล่านี้เมื่อประกอบกันแล้ว จะช่วยลดแรงกดดันและสร้างบรรยากาศการค้าโลกให้ดีขึ้น และเพิ่มความเชื่อมั่นให้นักธุรกิจนักลงทุน


บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com