• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 17 มกราคม 2563

    17 มกราคม 2563 | Economic News



· ค่าเงินดอลลาร์ปรับแข็งค่าขึ้นหลังจากที่ข้อมูลเศรษฐกิจส่วนใหญ่ของสหรัฐฯประกาศออกมาในเชิงบวก จึงช่วยลดการอ่อนค่าของดอลลาร์ที่ตอบรับกับข่าวการลงนามเฟสแรกของสหรัฐฯและจีนที่ดูจะช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดทางการค้า



ยอดค้าปลีกสหรัฐฯขยายตัวได้ดีต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 ในเดือนธ.ค. โดยได้รับอานิสงส์จากกำลังซื้อของภาคครัวเรือน แม้ว่าจะมีการลดการเข้าซื้อรถในกลุ่มจักรยานยนต์ ซึ่งข้อมูลล่าสุดก็ได้สะท้อนว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯยังคงขยายตัวได้ดีในช่วงสิ้นปี 2019

ด้านข้อมูลกิจกรรมภาคการผลิตเขตฟิลาเดเฟียรีบาวน์ขึ้นทำระดับสูงสุดในรอบ 8 เดือนในเดือนม.ค. และดูจะช่วยทำให้แนวโน้มนั้นดูสดใสมากที่สุดในรอบหนึ่งปีครึ่ง ทางด้านข้อมูลผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ก็ออกมาดีขึ้นเกินคาด

ดัชนีดอลลาร์ปรับแข็งค่าขึ้น 0.1% ที่ 97.329 จุด หลังจากที่ไปทำอ่อนค่ามากที่สุดนับตั้งแต่ 8 ม.ค. บริเวณ 97.085 จุดในช่วงต้นตลาด

ดอลลาร์อ่อนค่าลงนับตั้งแต่ที่มีการลงนามข้อตกลงการค้าของสหรัฐฯและจีน โดยที่มีเงื่อนไขว่าจีนจะต้องเพิ่มการเข้าซื้อสินค้าและบริการเพิ่มในช่วงสองปีให้ได้ 2 แสนล้านเหรียญเพื่อแลกกับการยกเลิกภาษีการค้าบางส่วนจากสหรัฐฯ แต่ภาพรวมสหรัฐฯก็ยังจะคงดภาษี 25% มูลค่า 2.5 แสนล้านเหรียญในหมวดสินค้าของอุตสาหกรรมจีนและชิ้นส่วนหรืออะไหล่ที่ถูกใช้ในกลุ่มผู้ผลิตสหรัฐฯ ขณะที่อัตราภาษีที่จีนตอบโต้มูลค่า 1 แสนล้านเหรียญก็จะยังมีอยู่เช่นกัน



· นายมิเชล โบว์แมน หนึ่งในสมาชิกบอร์ดบริหารของเฟด กล่าวว่า เฟดมีแนวโน้มจะคงดอกเบี้ยตลอดปี 2020 โดยปราศจากภาวะขาดปัจจัยทางเศรษฐกิจมาสนับสนุน พร้อมกล่าวย้ำว่ามีแนวโน้มของสัญญาณขาขึ้นต่อเนื่องในตลาดที่อยู่อาศัย ซึ่งอัตราดอกเบี้ยระดับต่ำจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยสนับสนุนให้กิจกรรมในภาคที่อยู่อาศัยนั้นเติบโต ดังนั้น ระดับดอกเบี้ยในปัจจุบันจึงเป็นเรื่องที่เหมาะสมสำหรับปีนี้ ตราบเท่าที่ข้อมูลเศรษฐกิจยังคงขยายตัวได้ในเกณฑ์ที่ดีอย่างในปัจจุบัน



· รายงานจากรอยเตอร์ส ระบุว่า แม้สหรัฐฯและจีนจะลงนามข้อตกลงการค้าเฟสแรกร่วมกัน และจีนจะทำการเข้าซื้อสินค้าและภาคบริการจากสหรัฐฯเพิ่มในช่วง 2 ปีนี้ แต่ภาพรวมก็ยังคงมีความน่ากังวลว่าข้อตกลงดังกล่าวอาจไม่ได้ช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดทางการค้าที่ยืดเยื้อมาอย่างยาวนาน เพราะหลายๆเรื่องก็ยังไม่ได้ถูกแก้ไข โดยที่นักกลยุทธ์การตลาดโลกจาก J.P.Morgan Asset Management กล่าวว่า ขณะที่ตลาดดูจะตอบรับกับข้อตกลงการค้าด้วยสภาวะ Risk-On แต่ก็ต้องระมัดระวังท่าทีต่อไปของสิ่งที่จะตามมาในปี 2020 นี้

ขณะที่ผลสำรวจจากรอยเตอร์ส ชี้ว่า การมาของข้อตกลงการค้าเฟสแรกดูจะส่งผลบวกต่อนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในศึกเลือกตั้งปีนี้ ที่ดูจะทำให้เกษตรกรของสหรัฐฯพึงพอใจกับเงื่อนไขที่จีนจะเข้าซื้อสินค้าเพิ่ม



· แม้สหรัฐฯและจีนจะสามารถร่วมกันลงนามในข้อตกลงเฟสแรกกันได้ แต่ความขัดแย้งในหลายๆประเด็น ตั้งแต่ Huawei ไปจนถึงความขัดแย้งด้านดินแดนในทะเลจีนใต้

ผู้เชี่ยวชาญจาก Macquarie University มีมุมมองว่า ประเด็นความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯและจีนในภาพรวมไม่ได้สดใสขึ้นจากการลงนามครั้งนี้มากนัก โดยประเด็นความขัดแย้งที่เหลืออยู่คือ ความตึงเครียดหลังการเลือกตั้งในไต้หวัน การที่สหรัฐฯตำหนิจีนเรื่องสิทธิมนุษยชนชาวฮ่องกงและในมณฑลซินเจียง ตลอดจนการกีดกันบริษัท Huawei ของจีน

ขณะที่ศาสตราจารย์จาก University of New South Wales มองว่าการลงนามเกิดขึ้นเพื่อลดความร้อนแรงของความขัดแย้งลงชั่วคราวเท่านั้น แต่ยังไม่ได้ระบุถึงการแก้ไขปัญหาที่เป็นต้นตอของความขัดแย้งแต่อย่างใด


· รายงานจาก Reuters ระบุว่า การที่ทีมบริหารของนายทรัมป์พยายามกดดันให้จีนปฏิบัติตามข้อตกลงเฟสแรกอย่างแข็งขันนั้น มีความเสี่ยงที่ว่า หากจีนไม่สามารถดำเนินการตามข้อตกลงได้ อาจทำให้สหรัฐฯกลับมาพิจารณาขึ้นภาษีจีนอีกครั้งได้ ซึ่งจะเปรียบเสมือนเป็นการฉีกข้อตกลงที่เพิ่งลงนามไปเมื่อคืนก่อน

นายโรเบิร์ต ไรท์ไฮเซอร์ ตัวแทนการค้าสหรัฐฯ ยืนยันถึงการที่สหรัฐฯจะผลักดันให้จีนดำเนินการตามข้อตกลง เพื่อเป็นการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาของสหรัฐฯ รวมถึงการป้องกันไม่ให้เกิดการบังคับส่งถ่ายเทคโนโลยี เพื่อกระตุ้นให้การซื้อขายสินค้าจากสหรัฐฯมีมูลค่าเพิ่มขึ้นถึง 2 แสนล้านเหรียญภายในระยะเวลา 2 ปีได้จริง

· การประกาศจีดีพีจีนในวันนี้ถูกคาดว่าจะเห็นเศรษฐกิจจีนปี 2019 ชะลอตัวลงมากที่สุดในรอบเกือบ 3 ทศวรรษ หรือ 29 ปี ท่ามกลางผลกระทบจาก Trade War แต่ในปีนี้คาดว่าจะได้รับแรงหนุนเพิ่มเติมจากการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อช่วยหลีกเลี่ยงภาวะชะลอตัว

โดยภาพรวมปี 2019 ถูกคาดว่าจีดีพีจะลดลงแตะ 6.1% จากระดับ 6.6% ในปี 2018 ซึ่งระดับ 6.1% ถือเป็นต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 1990 และคาดว่าปี 2020 จะชะลอตัวลงแตะ 5.9% จึงจะส่งผลให้จีนจำเป็นต้องใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่ม

· ทางด้านผลสำรวจมุมมองทางเศรษฐกิจของยูโรโซนก็คาดว่าจะแย่ลง แม้จะเห็นการมาของข้อตกลงการค้าเฟสแรกของสหรัฐฯและจีน แต่เชื่อว่าในปีนี้และอีก 2 ปีข้างหน้าการเติบโตก็จะไม่ได้ขยายตัวมากนัก โดยนักเศรษฐศาสตร์อาวุโสจาก Oxford Economics กล่าวว่า การเติบโตของเศรษฐกิจยูโรโซนจะยังอ่อนแอ และไม่คิดว่าจะเติบโตขึ้นได้มากขึ้นในเร็วๆนี้ โดยการจะกลับมาเติบโตได้จำเป็นต้องพึ่งภาคส่วนอุตสาหกรรมเป็นหลัก และภาคอุตสาหกรรมยูโรโซนจะโตได้ต้องสามารถแก้ไขข้อขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน ซึ่งไม่คิดว่าจะสามารถแก้ไขได้ในเร็วๆนี้

· กระบวนการไต่สวนนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เริ่มต้นขึ้นในวุฒิสภาเมื่อคืนที่ผ่านมา หลังจากที่ทางสภาผู้แทนราษฎรมีมติตัดสินว่านายทรัมป์ทำผิดกฏหมายด้วยการเสาะหาความช่วยเหลือจากต่างประเทศ อย่างประเทศยูเครน เพื่อแทรกแซงกระบวนการเลือกตั้ง

แม้การไต่สวนครั้งนี้ จะเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินงานของนายทรัมป์ อย่างไรก็ตาม ยังคงไม่มีความชัดเจนว่าคำให้การของพยานในวุฒิสภาที่มีพรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมาก จะเพียงพอต่อการโน้มน้าวให้วุฒิสภาเห็นชอบกับการปลดนายทรัมป์ออกจากตำแหน่งหรือไม่

· ราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นได้กว่า 1% ท่ามกลางความคืบหน้าเกี่ยวกับข้อตกลงการค้าสหรัฐฯและจีนที่ดูจะช่วยขับเคลื่อนอุปสงค์น้ำมันปีนี้ให้ขยายตัวได้ ขณะที่เมื่อวานนี้วุฒิสภาสหรัฐฯมีการอนุมัติข้อตกลงการค้าสหรัฐ-เม็กซิโก-แคนาดา (USMCA) ในวันนี้ ด้วยคะแนนเสียงท่วมท้น 89-10 เสียง ก่อนส่งต่อไปยังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เพื่อลงนามเป็นกฎหมายต่อไป

น้ำมันดิบ Brent ปิดปรับขึ้น 95 เซนต์ ที่ระดับ 64.95 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่น้ำมันดิบ WTI ปิด +1.2% หรือปรับขึ้น 71 เซนต์ ที่ระดับ 58.52 เหรียญ/บาร์เรล

อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์บางส่วนก็มีการกล่าวเตือนว่า จีนอาจจะไม่สามารถทำตามเป้าหมายที่ตกลงไว้กับสหรัฐฯในการจะนำเข้าน้ำมันเพิ่ม 5 หมื่นล้านเหรียญ ที่รวมไปถึงก๊าซธรรมชาติหรือสินค้าด้านพลังงานอื่นๆในช่วง 2 ปี และนั่นอาจทำให้ราคาน้ำมันเผชิญความผันผวนจนกว่าจะมีรายละเอียดเพิ่มเติมใดๆมากขึ้น

ขณะที่บางรายมองว่า การที่จีนจะเข้าซื้อสินค้าด้านพลังงานจากสหรัฐฯเพิ่มนั้นถือเป็นเรื่องที่ดีที่จะช่วยเพิ่มกระแสเงินในตลาดน้ำมันทั่วโลก หากอุปทานน้ำมันของสหรัฐฯถูกบีบจากการเข้าซื้อที่เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวดังกล่าวของจีน


บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com