• สรุปข่าวตลาดหุ้น (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 7 มกราคม 2563

    7 มกราคม 2563 | SET News
    

· ตลาดหุ้นสหรัฐฯปิดปรับขึ้นเล็กน้อยวันศุกร์หลังจากเผชิญแรงเทขายอันเนื่องจากภาวะความกังวลเกี่ยวกับตึงเครียดสหรัฐฯและอิหร่าน โดยดัชนีดาวโจนส์ปิด +68.5 จุด หรือ +0.2% ที่ 28,703.38 จุด หลังจากที่ช่วงต้นตลาดร่วงกว่า 216 จุด ด้าน S&P500 ปิด +0.4% ที่ 3,246.28 จุด และ Nasdaq ปิด +0.6% ที่ 9,071.46 จุด

ทั้งนี้ หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่ปรับตัวขึ้น นำโดย Facebook และ Amazon ที่ปรับขึ้นได้กว่า 1% รวมกับ Netflix และ Google-parent Alphabet ที่ปรับขึ้นได้ 3.1% และ 2.7% ตามลำดับดูจะเป็นอีกปัจจัยที่หนุนตลาด

· บรรดานักวิเคราะห์บางส่วนมองว่าความตึงเครียดทางการเมืองครั้งใหม่ดูจะสร้างความผันผวนให้แก่ช่วงเริ่มต้นปี หลังจากที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯปรับขึ้นทำสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปี 2019 และเปิดวันแรกของปี 2020 อย่างแข็งแก่รง แต่แล้วดัชนีก็ร่วงลงหลังสหรัฐฯเปิดฉากโจมตีทางอากาศในอิรักและส่งผลให้เจ้าหน้าที่ทางทหารอิหร่านเสียชีวิต และดูจะเป็นการกระตุ้นให้ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้น

หัวหน้านักกลยุทธ์ดัชนีสหรัฐฯและการดำเนินนโยบายการเงินของ Bank of America Merill Lynce มองว่า เหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้เกิดแรงเทขายในตลาดหุ้น โดยเฉพาะ S&P500 ร่วงลงแล้วประมาณ 6 – 7% จากเหตุการณ์ดังกล่าว และเชื่อว่าเวลานี้จะเป็นเวลาแห่งการเทขายครั้งประวัติศาสตร์ ก่อนที่จะสามารถฟื้นตัวกลับได้ในช่วงปลายปีนี้

· กรรมการผู้จัดการจาก TJM Institutional Services เชื่อว่า หากดัชนี S&P500 ร่วงลงต่ำกว่า 3,200 จุดเมื่อใด ก็มีโอกาสเห็นดัชนีร่วงลงแตะ 3,025 จุด ขณะที่บางคนปิดสถานะทำกำไรเพื่อป้องกันความเสี่ยง จากโอกาสที่ราคาจะลงได้ต่อ ท่ามกลางทองคำที่กลายเป็นสินทรัพย์น่าเข้าซื้อที่มีโอกาสแตะ 1,700 เหรียญได้ โดยเฉพาะ Gold Futures ที่ไปทำสูงสุดในรอบกว่า 6 ปีที่ระดับ 1,590.9 เหรียญ

รายงานจาก CNBC ระบุว่า ค่อนข้างแน่ชัดแล้วว่าจะมีแรงเทขายในหุ้นออกมาหนาแน่น แต่บรรดานักวิเคราะห์ก็ยังไม่มีใครคาดการณ์ว่าทิศทางดัชนีสหรัฐฯจะกลับเป็นขาลง หรือเศรษฐกิจสหรัฐฯจะเข้าสู่ภาวะถดถอยได้ จึงมีโอกาสเห็นราคารีบาวน์กลับได้หลังเผชิญปัญหาทางการเมือง

· ตลาดหุ้นเอเชียเปิดรีบาวน์ในวันนี้ท่ามกลางตลาดที่ปราศจากความตึงเครียดครั้งใหม่ของตะวันออกกลาง และตลาดหุ้นสหรัฐฯชะลอการปรับตัวลงในการปิดตลาดเมื่อวานนี้อันได้รับแรงหนุนจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี

ดัชนี MSCI ที่ไม่รวมญี่ปุ่นเปิด +0.3% หลังจากที่เมื่อวานปิด -0.7% ทางด้านดัชนีนิกเกอิเปิด +0.5% และ Kospi ของเกาหลีใต้เปิด 0.6%

· อ้างอิงจากสำนักข่าวอินโฟเควสท์

- นักบริหารเงิน คาดว่า วันนี้เงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบ 30.05 - 30.25 บาท/ดอลลาร์

-กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) คาดว่าเงินบาทในสัปดาห์นี้จะเคลื่อนไหวในกรอบ 30.00-30.30 บาท/ดอลลาร์ โดยตลาดจับตาราคาน้ำมันและทองคำ ท่ามกลางความขัดแย้งในตะวันออกกลางซึ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น หลังการโจมตีทางอากาศของสหรัฐในอิรัก นอกจากนี้ตลาดจะให้ความสนใจกับตัวเลขภาคบริการและการจ้างงานของสหรัฐฯ เพื่อประเมินทิศทางดอกเบี้ยในระยะถัดไป รวมทั้งรอความชัดเจนการทำข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐและจีนด้วย

- ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่าสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯและอิหร่าน นอกจากจะทำให้ระดับราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นในระยะต่อไปแล้ว ยังมีน้ำหนักมากพอที่จะมีผลต่อทิศทางการดำเนินนโยบายทางการเงินของธนาคารกลางทั่วโลก รวมถึงไทยให้เผชิญข้อจำกัดมากขึ้น ดังนั้น บทบาทหลักในการประคองภาวะเศรษฐกิจในจังหวะที่เผชิญโจทย์ท้าทายรอบด้านจะอยู่ที่การดำเนินนโยบายการคลังเป็นหลัก

- รมว.คลังไทย ยืนยันว่าจะไม่มีการออก พ.ร.ก.เลื่อนการใช้ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างแน่นอน พร้อมเดินหน้าบังคับใช้กฎหมายตามเดิมต่อไป แม้ฝ่ายค้านเสนอให้ออก พ.ร.ก.เพื่อชะลอการใช้ไปก่อน โดยที่ผ่านมากระทรวงการคลังได้ประสานการทำงานกับกระทรวงมหาดไทยอย่างใกล้ชิด และได้มีการปรับปรุงการทำงานในเชิงปฏิบัติให้เกิดความเหมาะสมมากที่สุด

นอกจากนี้ รมว.คลังไทย ยังสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจับตาอย่างใกล้ชิดต่อสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ กับอิหร่านว่าเหตุการณ์จะพัฒนาไปในทางใด ซึ่งต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องใหม่ที่เกิดขึ้น ยังพูดไม่ได้ว่าจะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างไรบ้าง แต่ความเป็นไปได้ที่จะได้รับผลกระทบมีแน่นอน แต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหาแค่กับไทยเท่านั้น เป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบไปทั้งโลก

- ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor ConfidenceIndex) ประจำเดือน ม.ค.63 ว่า ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้าปรับตัวลดลงอยู่ในเกณฑ์ทรงตัว (Neutral) เป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกัน นักลงทุนคาดหวังการดำเนินนโยบายภาครัฐและผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน ขณะที่ก็มีความกังวลต่อความขัดแย้งระหว่างประเทศ ภาวะเศรษฐกิจในประเทศ รวมถึงสถานการณ์ทางการเมือง

บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com