· ค่าเงินเยนแข็งค่าทำระดับสูงสุดในรอบ 3 เดือน ขณะที่ราคาทองคำพุ่งสูงขึ้น ท่ามกลางความกังวลว่าความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ-อิหร่านอาจทวีความรุนแรงและกลายเป็นความขัดแย้งทั่วตะวันออกกลาง
นักวิเคราะห์จาก National Australia Bank ระบุว่า ตลาดน่าจะมีความกังวลเกี่ยวกับการโต้กลับของอิหร่านและการดำเนินการขั้นต่อไปของสหรัฐฯอีกสักระยะ
ค่าเงินเยนแข็งค่า 0.3% แถว 107.82 เยน/ดอลลาร์ ในช่วงต้นตลาดเอเชีย ซึ่งเป็นระดับแข็งค่าที่สุดนับตั้งแต่ ต.ค. ปี 2018
ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าเล็กน้อยเมื่อเทียบสกุลเงินที่ให้ผลตอบแทนสูงอย่างดอลลาร์ออสเตรเลีย ขณะที่ดัชนีดอลลาร์ค่อนข้างทรงตัวแถว 96.852 จุด
· ดัชนีดอลลาร์อ่อนค่าลงต่อจากระดับปิดตลาดวันศุกร์ โดยอ่อนค่าลงในช่วงบ่ายวันนี้ประมาณ 0.01% แถว 96.88 จุด ท่ามกลางแรงกดดันจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯที่ปรับลดลง และจากความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ-อิหร่านที่อาจทวีความรุนแรง
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์จาก FX Street ประเมินแนวรับแรกของดัชนีดอลลาร์ไว้ที่ 96.36 จุด (ระดับต่ำสุดของวันที่ 31 ธ.ค.) ตามมาโดย 96.04 จุด (ระดับ 50% Fibo) และ 95.84 จุด (ระดับต่ำสุดของวันที่ 25 มิ.ย. 2019)
ส่วนแนวต้านแรกจะอยู่ที่ระดับ 97.18 จุด (เส้นค่าเฉลี่ยราย 21 วัน) หากผ่านมาได้จะโอกาสขึ้นถึง 97.69 จุด (เส้นค่าเฉลี่ยราย 200 วัน) และ 97.87 จุด (ระดับ 61.8% Fibo)
· เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา อิหร่านประกาศยกเลิกการปฏิบัติตามข้อตกลงด้านการถือครองแร่ยูเรเนียม ภายใต้ข้อตกลงด้านนิวเคลียร์ปี 2015 ที่ลงนามรวมกับประเทศมหาอำนาจทั้ง 6
ซึ่งก่อนหน้านี้ อิหร่านมีการจำกัดปริมาณถือครองแร่ยูเรเนียมที่เป็นส่วนประกอบสำคัญของพลังงานนิวเคลียร์ โดยจำกัดในปริมาณที่เพียงพอต่อการศึกษาและวิจัยทั่วไป ไม่เพียงพอสำหรับการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ แต่ล่าสุดอิหร่านได้ประกาศจะยกเลิกปฏิบัติตามข้อตกลงในส่วนนี้แล้ว
· นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยังคงยึดมั่นกับค่ำข่มขู่ที่ว่าสหรัฐฯจะมุ่งเป้าโจมตีไปยังสถานที่สำคัญทางวัฒนธรรมของอิหร่าน หากอิหร่านทำการตอบโต้สหรัฐฯหลังการสังหารผู้บัญชาการทหารของอิหร่าน
· นางแนนซี เพโลซี หัวหน้าสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ประกาศว่า ทางสภาจะมีการลงมติร่างกฏหมายที่จะมาจำกัดการใช่อำนาจทางการทหารกับอิหร่านของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เร็วๆนี้
การลงมติร่างกฏหมายดังกล่าว มีแนวโน้มสูงที่จะสามารถผ่านสภาผู้แทนฯที่มีพรรคเดโมแครตครองเสียงข้างมากไปได้ แต่ยังไม่มีความแน่นอนว่าจะสามารถผ่านการลงมติในวุฒิสภาไปได้หรือไม่ เนื่องจากพรรครีพับลิกันที่ครองเสียงข้างมากส่วนใหญ่สนับสนุนการดำเนินการกับอิหร่านของนายทรัมป์
· สำนักข่าวซินหัว รายงานว่า นายหวัง อี้ มนตรีแห่งรัฐและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของจีน ได้ยืนยันหลังหารือทางโทรศัพท์กับนายโมฮัมหมัด จาวัด ซารีฟ รัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่าน เมื่อวันที่ 3 มกราคมที่ผ่านมาว่า จีนจะเข้าไปมีบทบาทในการรักษาสันติภาพและความมั่นคงในตะวันออกกลาง และอ่าวเปอร์เซียให้เป็นไปอย่างถูกต้องและเป็นธรรม
พร้อมระบุว่า การกระทำของสหรัฐฯ ขัดหลักการพื้นฐานของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ อีกทั้งจะทำให้สถานการณ์ในตะวันออกกลางตึงเครียดและวุ่นวายมากขึ้น
สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เนื่องจากอิหร่านได้ส่งจดหมายถึงเลขาธิการสหประชาชาติ และหวังว่าจีนจะมีบทบาทสำคัญในการป้องกันไม่ให้เกิดการจัดการกับความตึงเครียดในภูมิภาคตะวันออกกลางไปมากกว่านี้
· นายชินโซ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญีปุ่น ประกาศยืนยันที่จะส่งกองกำลังป้องกันตัวเองของประเทศไปยังตะวันออกกลางเพื่อคุ้มกันเรือขนส่งน้ำมันของตัวเอง ท่ามกลางความตึงเคียดระหว่างสหรัฐฯและอิหร่านที่กำลังระอุ
· นักวิเคราะห์จาก UOB Group ระบุว่า มีความเป็นไปได้ที่ธนาคารกลางจีนจะประกาศลดอัตรา RRR ลงอีก เนื่องจากรัฐบาลจีนยังต้องการที่จะลดต้นทุนให้กับภาคเศรษฐกิจ แม้จะมีสัญญาณบวกของการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนก็ตาม
นักเศรษฐศาสตร์จากสถาบัน BetaShares Capital มีมุมมองเกี่ยวกับเหตุการณ์ไฟไหม้ป่าครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ที่กำลังเกิดขึ้นในออสเตรเลีย ว่าอาจทำให้เศรษฐกิจออสเตรเลียเผชิญกับการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ เพราะนอกจากเหตุการณ์ครั้งนี้จะทำให้เกิดความสูญเสียต่อทรัพยากรธรรมชาติและทรัพย์สินอย่างมหาศาลแล้ว ยังเป็นการทำลายความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่ต่อเศรษฐกิจอีกด้วย
· ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้น 2% โดยน้ำมันดิบ Brent เคลื่อนไหวเหนือระดับ 70 เหรียญ/บาร์เรล จากความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯและอิหร่าน
น้ำมันดิบ Brent เพิ่มขึ้น 2.1% ที่ระดับ 70.74 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่น้ำมันดิบ WTI ปรัวตัวสูงขึ้น 1.7% ที่ระดับ 64.15 เหรียญ/บาร์เรล หลักขึ้นไปแตะระดับ 64.72 เหรียญ/บาร์เรล ในช่วงก่อนหน้านี้ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย.ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นมากกว่า 3% เมื่อวันศุกร์ หลังจากการโจมตีทางอากาศของสหรัฐฯในอิรักได้สังหาร ผู้บัญชาการทหาร ทำให้เกิดความกังวลมากขึ้นว่าความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่กว้างขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้อุปทานน้ำมันลดลง