ทิศทางการเมืองของสหรัฐฯต้อนรับปี 2020 ด้วยความขัดแย้งครั้งใหญ่กับอิหร่าน และผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่า ประเด็นความขัดแย้งทางการเมืองจะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆเมื่อเข้าใกล้การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯในเดือน พ.ย. ปีนี้ และไม่ใช่แค่ความขัดแย้งกับต่างประเทศเท่านั้น แต่จะรวมไปถึงความขัดแย้งภายในสหรัฐฯเอง
ศาสตราจารย์ประจำ London School of Economics ระบุว่า ปี 2020 จะเป็นปีที่กระแสความขัดแย้งทางการเมืองจะมีรุนแรงมากขึ้น และจะส่งผลกระทบต่อทิศทางการเลือกตั้งประธานาธิบดีอย่างมีนัยสำคัญ
โดยตลอดช่วง 3 ปีที่ผ่านมา สหรัฐฯแตกออกเป็น 2 ฝ่ายอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการแบ่งฝ่ายทางพรรคการเมือง หรือฝ่ายประธานาธิบดีกับสภาคองเกรส หรือไปจนถึงฝ่ายสภาล่างและฝ่ายสภาสูง เชื่อว่าการแบ่งฝ่ายเช่นนี้ จะดำเนินต่อไปภายในปี 2020 จึงอาจทำให้กระแสความขัดแย้งทางการเมืองในสหรัฐฯมีความตึงเครียดยิ่งขึ้น
ประเด็นสำคัญที่สุดที่หลายๆฝ่ายจะให้ความสนใจ คือเรื่องของการลงนามในข้อตกลงการค้าเฟสแรกระหว่างสหรัฐฯและจีน รวมถึงทิศทางความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯและอิหร่าน ส่วนประเด็นภายในประเทศ คือเรื่องของการไต่สวนประธานาธิบดี และการเลือกตัวแทนลงเลือกตั้งของพรรคเดโมแครตที่จะเริ่มต้นในเดือน ก.พ. นี้
สำหรับตัวแทนของฝั่งเดโมแครตที่มีโอกาสเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีมากที่สุดตอนนี้ ได้แก่ นายโจ ไบเดน, นายเบอนีย์ แซนเดอร์, และนางเอลิซาเบธ วาร์เรน
ผู้บริหารประจำสถาบัน Continuum Economics ระบุว่า สิ่งตลาดอยากรู้มากที่สุด ณ ตอนนี้ คือใครจะเป็นตัวแทนจากฝั่งเดโมแครตเพื่อลงเลือกตั้งแข่งขันกับนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯคนปัจจุบัน
หากเป็นคู่ ไบเดน-ทรัมป์ ตลาดมองว่าทิศทางของนโยบายเศรษฐกิจสหรัฐฯน่าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปมากนักหลังการเลือกตั้ง โดยนายไบเดนมีมุมมองเกี่ยวกับยอดขาดดุลทางการค้าค่อนข้างคล้ายกับนายทรัมป์ แต่นายไบเดนดูจะมีท่าทีประนีประนอมกับจีนมากกว่านายทรัมป์ ดังนั้น หากเป็นคู่ ไบเดน-ทรัมป์ เชื่อว่าตลาดการเงินจะมีการตอบรับไปในเชิงบวก
ในกรณีที่เป็นคู่ ทรัมป์-แซนเดอร์ หรือ ทรัมป์-วาร์เรน ตลาดการเงินอาจตอบรับไปในเชิงลบ เนื่องจากความกังวลว่า นโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐฯอาจมีการเปลี่ยนครั้งสำคัญ
โดยทั้งนายแซนเดอร์และนางวาร์เรน ต่างเป็นนักการเมืองที่เป็นขั้วตรงข้ามกับตลาดการเงินสหรัฐฯ ดังนั้น หากคนใดคนหนึ่งครองตำแหน่งประธานาธิบดี เชื่อว่าจะไม่เป็นผลดีต่อการประกอบธุรกิจหรือความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในตลาดการเงินสหรัฐฯแต่อย่างใด
ที่มา : CNBC
