· ดัชนีดอลลาร์ปรับขึ้นทำระดับสูงสุดประวัติการณ์ในปี 2019 โดยปีที่ผ่านมาปรับขึ้นได้ 0.24% หลังจากที่ในเดือนธ.ค. อ่อนค่าลงจากความหวังที่จะเห็นข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน จึงทำให้นักงทุนลดความต้องการถือครองสินทรัพย์ปลอดภัย
ดัชนีดอลลาร์ปรับอ่อนค่าลง 0.33% ที่ 96.418 จุด โดยอ่อนค่าลงติดต่อกันเป็นวันที่ 4 และเป็นระดับอ่อนค่ามากที่สุดตั้งแต่ 1 ก.ค. ท่ามกลางข้อตกลงการค้าเฟสแรกที่บรรลุข้อตกลงร่วมกันได้ตั้งแต่ต้นเดือนธ.ค. และทำให้ภาพรวมเดือนธ.ค อ่อนค่าไปประมาณ 1.89% ขณะที่ดัชนีดอลาร์ตลอดปี 2019 ค่อนข้างอยู่ในทิศทางที่แข็งแกร่งก่อนเข้าสู่เดือนธ.ค.
ความต้องการสินทรัพย์เสี่ยงดูจะทำให้ค่าเงินยูโรกลับแข็งค่าขึ้นมาแตะ 1.124 ดอลลาร์/ยูโร ซึ่งเป็นสูงสุดในรอบ 5 เดือน ก่อนที่ล่าสุดจะทรงตัวแนว 1.122 ดอลลาร์/ยูโร
ค่าเงินปอนด์ทำแข็งค่ามากที่สุดรอบ 2 สัปดาห์ แม้ว่าความเป็นไปได้ที่จะเกิด No-Deal จะยังมีอยู่ในช่วงสิ้นปี 2020
· ในวันอังคารที่ผ่านมา นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ทำการทวิตเตอร์ข้อความเกี่ยวกับข้อตกลงการค้าเฟสแรก โดยระบุว่าอาจร่วมลงนามกับจีนได้ในวันที่ 15 ม.ค.นี้ แม้จะยังอยู่ระหว่างพิจารณารายละเอียดของข้อตกลง และเขาเองอาจเดินทางเยือนจีนเพื่อเริ่มต้นลงนามการค้าเฟสถัดไปหลังลงนามฉบับแรกเป็นที่เรียบร้อย
· กิจกรรมภาคการผลิตจีนขยายตัวได้ต่อเนื่องติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2 ในเดือนธ.ค. ท่ามกลางอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้น และสัญญาณความคืบหน้าของการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน จึงทำให้มียอดสั่งจองและการผลิตในภาคโรงงานที่ดีขึ้น โดยดัชนี PMI ภาคการผลิตจีนทรงตัวที่ 50.2 จุดในเดือนธ.ค. โดยยังทรงตัวจากเดิมในเดือนพ.ย. แต่สูงกว่าที่คาดว่าจะขยายตัวได้ 50.1 จุด
ด้านภาคบริการของจีนชะลอตัวลงในเดือนธ.ค. แตะ 53.5 จุด จากระดับสูงสุดรอบ 8 เดือนที่ทำไว้ในเดือนพ.ย. ที่ระดับ 54.4 จุด
· เมื่อวานนี้ ธนาคารกลางจีน (PBoC) กล่าวว่า เศรษฐกิจจีนยังคงแข็งแกร่งแม้ว่าจะเผชิญกับแรงกดดันและความไม่แน่นอนจากต่างประเทศ พร้อมกันนี้ธนาคารกลางจะยังคงรักษาสมดุลของอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินหยวนให้มีเสถียรภาพ รวมถึงการใช้เครื่องมือทางการเงินที่หลากหลายและมีความยืดหยุ่นเพื่อรักษาสภาพคล่อง
· ประธานาธิบดีของไต้หวันปฏิเสธสูตร “หนึ่งประเทศสองระบบ” ที่จีนเสนอเพื่อรวมเกาะแห่งนี้และแผ่นดินใหญ่เป็นหนึ่งเดียวกัน พร้อมกล่าวว่า ข้อตกลงดังกล่าว คือสาเหตุที่ทำให้ฮ่องกงอยู่บนขอบเหวของความโกลาหล
· ดัชนีราคาผู้บริโภคเกาหลีใต้ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้นในเดือนธ.ค. แต่ภาพรวมตลอดปีก็ยังคงทำต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ จึงก่อให้เกิดกระแสคาดการณ์ตามมาว่าอาจเห็นธนาคารกลางเกาหลีใต้จำเป็นต้องปรับลดดอกเบี้ยต่อในปีนี้ โดยดัชนี CPI ปรับขึ้นเพียง 0.7% เพิ่มขึ้นจากระดับ 0.2% ในเดือนพ.ย.
· นายคิม จอง-อึน ผู้นำสูงสุดแห่งประเทศเกาหลีเหนือประกาศในวันพุธที่ 1 ม.ค. โดยระบุว่า เตรียมจะยุติการพักการทดลองนิวเคลียร์และการทดสอบขีปนาวุธพิสัยไกล ซึ่งเกิดขึ้นในเดือนเมษายนปี2018 ระหว่างการเจรจาระหว่างพวกเขากับสหรัฐฯแล้ว
พร้อมกันนี้ นายจองอึน ยังระบุว่า ไม่มีเหตุผลที่เกาหลีเหนือจะทำตามคำมั่นสัญญาเพียงฝ่ายเดียวอีกต่อไป และโลกจะได้รับรู้เกี่ยวกับอาวุธยุทธศาสตร์ใหม่ของเกาหลีเหนือในเร็วๆนี้
ขณะที่ทางทำเนียบขาวไม่ได้ให้รายละเอียดใดๆเพิ่มเติมว่าจะตอบโต้กลับต่อท่าทีของผู้นำเกาหลีเหนือเช่นใด
นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ แสดงความเชื่อมั่นว่าผู้นำเกาหลีเหนือจะรักษาสัญญาที่เคยให้ไว้ในการทำข้อตกลงปลดอาวุธนิวเคลียร์ที่เคยลงนามร่วมกัน
· ราคาน้ำมันดิบปิดปรับตัวสูงขึ้นเมื่อวันที่ 30 ธ.ค. ไปทำระดับสูงสุดรอบ 3 เดือน จากมุมมองเชิงบวกของข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน และข้อมูลภาคการผลิตที่ปรับตัวขึ้น ขณะที่เหล่าเทรดเดอร์จับตาสถานการณ์ตะวันออกกลางใกล้ชิดหลังสหรัฐฯโจมตีอิรักและซีเรียทางอากาศ โดยน้ำมันดิบ Brent และ WTI ทำสูงสุดตั้งแต่ 17 ก.ย.ได้ โดย Brent พุ่งไปแตะ 68.99 เหรียญ/บาร์เรล ก่อนภาพรวมจะปิดที่ 68.44 เหรียญ/บาร์เรล ทางด้าน WTI ทำสูงสุดที่ 62.34 เหรียญ/บาร์เรล ก่อนจะปิดที่ 61.84 เหรียญ/บาร์เรล ก็ยังคงปิดแดนลวกได้ทั้งคู่
ขณะที่เมื่อวานนี้ราคาน้ำมันดิบค่อนข้างทรงตัวแต่ก็ดูจะปิดปีที่ดีที่สุดตั้งแต่ปี 2016 โดยได้รับแรงหนุนจากการบรรเทาความยืดเยื้อของสงครามการค้า และการปรับลดอุปทานน้ำมัน โดยน้ำมันดิบ Brent ปรับลงเล็กน้อย 1 เซนต์ ที่ 66.66 เหรียญ/บาร์เรล ด้าน WTI ปรับลง 3 เซนต์ ที่ 61.65 เหรียญ/บาร์เรล
ภาพรวมปี 2019 จะเห็นได้ว่าราคาน้ำมันดิบ Brent ปรับตัวขึ้นได้ประมาณ 24% ขณะที่ WTI ปรับขึ้นได้ประมาณ 36% ซึ่งน้ำมันดิบทั้ง 2 ประเภท เรียกได้ว่าปิดปีที่ดีที่สุดในรอบ 3 ปี โดยได้รับแรงหนุนจากการเจรจาข้อตกลงการค้าสหรัฐฯ-จีน รวมทั้งการที่กลุ่มโอเปกและชาติพันธมิตรมีข้อตกลงขยายเวลาปรับลดกำลังการผลิต
· รายงานจากรอยเตอร์ส เผยว่า เจ้าหน้าที่ทางการทหารของสหรัฐฯ กำลังจับตาอย่างใกล้ชิดหลังสหรัฐฯทำการโจมตีทางอากาศใส่พื้นที่บริเวณอิรักและซีเรียเพื่อจัดการกับกองกำลัง KH ที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่าน พร้อมกันนี้ยังกังวลว่าอาจเกิดการโต้กลับและความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นระหว่างสหรัฐฯและอิหร่านได้
ขณะที่ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศกร้าวว่าอิหร่านจะต้องชดใช้ครั้งใหญ่ต่อเหตุโจมตีทหารสหรัฐฯและส่งผลให้มีพลทหารเสียชีวิต
Stock_News.png