• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคค่ำ) ประจำวันที่ 24 ธันวาคม 2562

    24 ธันวาคม 2562 | Economic News

· ค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียทรงตัวที่ 0.6915 ในตลาดเอเชีย ซึ่งเป็นระดับที่ใกล้กับระดับแข็งค่ามากที่สุดในรอบเกือบ 4 เดือนครึ่งที่ทำไว้เมื่อ 13 ธ.ค. ที่ระดับ 0.6939 ดอลลาร์ออสเตรเลีย หรือเป็นระดับสูงสุดตั้งแต่ช่วงปลายเดือนก.ค. ท่ามกลางสัญญาณเชิงบวกของข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน ขณะที่เงินปอนด์อ่อนค่าลงท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับ Brexit

ค่าเงินยูโรค่อนข้างทรงตัวที่ 1.1087 ดอลลาร์/ยูโร และค่าเงินเยนอยู่ที่ 109.4 เยน/ดอลลาร์ และดัชนีดอลลาร์ทรงตัวที่ 97.689 จุด หลังไปทำ High เมื่อวานนี้ที่ 97.820 จุด โดยภาพรวมตลาดค่อนข้างเคลื่อนไหวเบาบางในช่วงเข้าสู่เทศกาลคริสต์มาส


· นักวิเคราะห์จาก FXStreet วิเคราะห์ว่า ค่าเงินเยนทรงตัวบริเวณ 109.4 เยน/ดอลลาร์ ท่ามกลางปริมาณซื้อขายปานกลาง และราคามีการวิ่งในกรอบเส้นค่าเฉลี่ย SMA 100 และ 200 ชั่วโมง (HMAs)

โดยหากราคา Break เหนือ 109.47 เยน/ดอลลาร์ มีโอกาสอ่อนค่าไปทดสอบสูงสุดของเดือนที่ 109.7 เยน/ดอลลาร์ แต่หาก Break หลุดต่ำกว่า 109.37 เยน/ดอลลาร์ ก็มีโอกาสเห็นเงินเยนแข็งค่ากลับมาแนว 109 เยน/ดอลลาร์

อย่างไรก็ดี หากราคา Break ทางใดทางหนึ่งจริง ก็มีโอกาสเห็นอ่อนค่าไป 110 เยน/ดอลลาร์ หรือ 108.8 เยน/ดอลลาร์ได้

· โพลล์สำรวจจาก Reuters ระบุว่า ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยประจำเดือนพย.มีแนวโน้มลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 7 แต่ก็ช้ากว่าเดือนก่อนหน้า

เหล่านักเศรษฐศาสตร์ คาดว่า ดัชนีภาคอุตสาหกรรมในเดือนพ.ย.อาจจะลดลง 7.1% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า หลังจากที่ปรับตัวลดลงที่ระดับ 8.45% ในเดือนต.ค.ที่ผ่านมา

ขณะที่ภาคการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมซึ่งคิดเป็นประมาณ 80% ของการจัดส่งทั้งหมดของประเทศไทยลดลง 6.4% จากปีก่อนหน้า โดยได้รับผลกระทบจากความตึงเครียดทางการค้าโลกและความแข็งแกร่งของค่าเงินบาทซึ่งเป็นสกุลเงินที่ดีที่สุดในเอเชียในปีนี้

· นายมุน แจอิน ประธานาธิบดีของเกาหลีใต้ ระบุว่า จีน ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ เข้าร่วมการประชุมไตรภาคี เพื่อหารือเกี่ยวกับด้านเศรษฐกิจ การค้าเสรี และการปลดอาวุธนิวเคลียร์เกาหลีเหนือ โดยผู้นำของเกาหลีใต้และญี่ปุ่นได้ยืนยันว่ายังคงสนับสนุนความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาคหรือ RCEP ให้สามารถผลักดันต่อไปได้

หลังจากก่อนหน้านี้ผู้นำเกาหลีเหนือได้กำหนดเส้นตายให้สหรัฐอเมริกาเสนอเงื่อนไขที่ยอมรับได้ในการทำข้อตกลงปลดอาวุธนิวเคลียร์และผ่อนปรนมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจให้เสร็จสิ้นภายในช่วงสิ้นปีนี้

· รายงานจาก Kitco ระบุว่า มุมมองของบรรดานักวิเคราะห์และนักเศรษฐศาสตร์มีความเห็นว่า "เฟด" และ "อีซีบี" น่าจะเลือกคงดอกเบี้ยในปี 2020

ทุกๆการเปลี่ยนแปลงใดๆจากเฟดและอีซีบี ก็ดูเหมือนจะส่งผลกระทบต่อราคาทองคำ เมื่อเทียบกับบรรดาธนาคารกลางอื่นๆ โดยนโยบายผ่อนคลายทางการเงินจะนำมาซึ่งความเป็นไปได้ของการปรับตัวสูงขึ้นของเงินเฟ้อ และ "ทองคำ" ก็มักจะถูกเข้าซื้อเพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ ขณะเดียวกันการเคลื่อนไหวของสองธนาคารชั้นนำก็จะส่งผลกระทบต่อค่าเงินยูโรและดอลลาร์ ที่จะมีผลต่อการเคลื่อนไหวของทองคำด้วยนั่นเอง

ภาพรวมเฟดตัดสินใจคงดอกเบี้ยไว้ในการประชุมเดือนธ.ค. หลังจากที่ได้ทำการปรับลดดอกเบี้ยไปแล้ว 3 ครั้งในปีนี้ ครั้งละ 0.25% ขณะที่ Fed Dot-Plot ชี้ว่าสมาชิกเฟดส่วนใหญ่ ณ ขณะนี้มีความคิดไปในทางเดียวกันว่าน่าจะไม่มีการปรับลดดอกเบี้ยเพิ่มปี 2020

นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสจาก Capital Economics คาดว่า น่าจะเห็นเฟดยังคงดอกเบี้ยในอนาคต เว้นแต่ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงใดๆเกิดขึ้นกับแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ

นักวิเคราะห์จาก Nomura Global Economics กล่าวว่า บรรดาสมาชิกเฟดก็ดูจะเห็นพ้องต่อการที่เศรษฐกิจสหรัฐฯมีการขยายตัวดังนั้น เฟดน่าจะไม่ทำการเปลี่ยนแปลงนโยบายดอกเบี้ยใดๆจนถึงการเลือกตั้งปี 2020

นักวิเคราะห์จาก TD Securities และ Commerzbank เห็นต่าง โดยคาดว่าน่าจะเห็นเฟดลดดอกเบี้ยได้ในดือนหน้า

นักกลยุทธ์การตลาดจาก Bannockburn Global Forex ก็มีมุมมองในทางเดียวกันว่า เฟดน่าจะทำการปรับลดดอกเบี้ยได้ 2 ครั้งก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยในช่วงสิ้นสุด Q1 หรือ Q2 ของปีหน้า น่าจะเห็นทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐฯอ่อนแอและจะนำไปสู่การเห็นเฟดตัดสินใจปรับลดดอกเบี้ยในช่วงต้น Q2/2020

สถาบันการเงินอย่าง Nomura ระบุว่า อาจเห็นเฟดปรับลดดอกเบี้ยได้ 1 ครั้งในปีหน้า ขณะที่ CME FedWatch มองความเป็นไปได้ 51.5% ที่เฟดจะคงดอกเบี้ย 1.5-1.75% ขณะที่มีโอกาส 34.6% ที่มองว่าจะเห็นเฟดลดดอกเบี้ยลง 1-1.25% และอีก 11.6% มองโอกาสที่จะเห็นเฟดขึ้นดอกเบี้ยแตะ 2.3%

· ฝั่งอีซีบีก็ดูจะเผชิญกับความยากในการตัดสินใจ แต่นักลงทุนส่วนใหญ่ รวมถึงนักเศรษฐศาสตร์ก็ดูจะมองไปในทางเดียวกันว่าอาจเห็นอีซีบีตัดสินใจผ่อนคลายทางการเงินมากขึ้น แต่หลายๆฝ่ายก็มองว่าการที่ระดับดอกเบี้ยเงินฝากมมีการติดลบก็กำลังสร้างปัญหาให้แก่ภาคธนาคาร ดังนั้น หลายๆรายจึงคาดว่าอาจจำเป็นที่จะต้องมีการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมาช่วยเสริม

อย่างไรก็ดี การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนก็อาจช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจยุโรปได้ในส่วนของภาคส่งออก ขณะที่การผลักดันให้อังกฤษออกจากอียูก็อาจส่งผลต่อเสถียรภาพของอียู

· รายงานจาก CNBC ระบุว่า การเช่าออฟฟิสสำนักงานในไต้หวันมีแนวโน้มมากขึ้น อันได้รับอานิสงส์จากปัญหาข้อขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรับฯและจีน โดยทำให้ภาคบริษัทไต้หวันส่วนใหญ่พิจารณากลับมายังบ้านเกิดเพื่อการทำธรุกิจ

· รายงานของ IMF และสถาบันการเงินต่างๆส่วนใหญ่คาดว่าปี 2020 การเติบโตทางเศรษฐกิจโลกจะสดใสมากกว่าปี 2019 จึงส่งผลให้ตลาดต่างๆคาดหวังจะเห็นเศรษฐกิจโลกรีบาวน์กลับได้ในปีหน้า

แต่ก็ต้องพึงระวังถึงภาวะ Hard Brexit ที่ยังดำเนินต่อไปอยู่ ซึ่งนั่นอาจส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นได้ รวมทั้ง น่าจะกลายมาเป็นปัจจัยที่ทำให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นได้ ดังนั้น ทองคำจึงมีโกอาสขึ้นได้อยู่ ควรหาจังหวะเข้าซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว ท่ามกลาง Trade War ที่ดูจะมีภาวะเชิงบวกสั้นๆเท่านั้น

· คาดการณ์ราคาน้ำมันดิบจากทาง CNBC ระบุว่า ภาพรวมของราคาน้ำมันดิบยังเป็นขาลงอยุ่ แม้ว่าจะเห็นราคาน้ำมันดิบ Brent ปรับตัวขึ้นได้อย่างมากในช่วงเดือนพ.ย. เฉลี่ยอยู่ที่ 63 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่ปีหน้าน่าจะเคลื่อนไหวในกรอบ 59-70 เหรียญ/บาร์เรล โดยได้รับอานิสงส์จากแนวโน้มการทำข้อตกลงล่าสุดของกลุ่มโอเปก

รายงานจาก EIA คาดน้ำมันดิบ Brent เฉลี่ยจะอยู่ระหว่าง 61 เหรียญ/บาร์เรลในปี 2020 ลดลงจากค่าเฉลี่ยปีนี้ที่ 64 เหรียญ/บาร์เรล ทางด้านน้ำมันดิบ Brent จะมีค่าเฉลี่ยน้อยกว่า Brent ห่างประมาณ 5.5 เหรียญ/บาร์เรล

สถาบัน IIF คาดว่าราคาน้ำมันดิบ Brent ปีหน้าเฉลี่ยจะอยู่ที่ 60 เหรียญ/บาร์เรล โดยลดลงจากค่าเฉลี่ยปีนี้ที่ 64 เหรียญ/บาร์เรลเช่นกัน

แต่ก็หลายๆสถาบันก็มองว่ามีโอกาสที่น้ำมันดิบจะเป็นขาขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็น BofA Global Research และ J.P. Morgan มองว่าราคาน้ำมันน่าจะขึ้นได้มากกว่าปี 2019 โดยได้รับอานิสงส์จากข้อตกลงอขงกลุ่มโอเปก+ ในเดือนธ.ค. ขณะที่ข้อตกลงการค้าสหรัฐฯและจีนมีแนวโน้มที่ดีมากขึ้น ดังนั้นอาจช่วยผลักดันให้ราคามีระดับเป้าหมายที่ 70 เหรียญ/บาร์เรลได้

J.P. Morgan คาดราคาน้ำมันดิบ Brent เฉลี่ยจะอยู่ที่ 64.50 เหรียญ/บาร์เรลในปีหน้า เพิ่มขึ้นจากคาดการณ์ในช่วงต้นเดือนที่ 59 เหรียญ/บาร์เรล แต่ปี 2021 คาดจะปรับลงมาที่ 61.5 เหรียญ

สำหรับซาอุดิอาระเบียก็จะจับตาการดำเนินนโยบายของกลุ่มโอเปก และคาดว่าน้ำมันดิบ Brent ที่ต่ำกว่า 70 เหรียญ/บาร์เรล ดูจะไม่เพียงพอในการสร้างสมดุลให้แก่ตลาดน้ำมัน และอาจทำให้ยอดขาดดุลงบประมาณของซาอุฯเพิ่มขึ้น 7% ในปีหน้าได้ ทำให้นักวิเคราะห์มองว่า ซาอุดิอาระเบียจะต้องให้การสนับสนุนน้ำมัน โดยมีระดับที่จำเป็นที่จะสร้างสมดุลด้านงบประมาณได้ที่ 77 - 78 เหรียญ/บาร์เรล

· ราคาน้ำมันดิบปิดปรับตัวสูงขึ้นท่ามกลางปริมาณการซื้อขายที่เบาบางก่อนเข้าสู่เทศกาลคริสต์มาส โดยตลาดตอบรับกับข่าวที่รัฐมนตรีกระทรวงพลังงานรัสเซีย กล่าวว่า จะเข้าร่วมกับกลุ่มโอเปกเพื่อสนับสนุนราคาน้ำมันในตลาด ขณะที่กลุ่มนักวิเคราะห์ก็คาดว่าสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯจะปรับตัวลงเป็นสัปดาห์ที่ 2

ทั้งนี้ น้ำมันดิบ Brent ปรับขึ้น 12 เซนต์ หรือ +0.2% ที่ระดับ 66.51 เหรียญ/บาร์เรล และ WTI ปรับขึ้น 7 เซนต์ ที่ 60.59 เหรียญ/บาร์เรล

บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com